เราคาดหวังได้ไหมว่า พรรคการเมืองควรจะใส่ใจปัญหา house arrest อย่างจริงจัง ถ้าคาดหวังไม่ได้ เราจะมีพรรคการเมืองไว้ทำไม ถ้ามีพรรคการเมืองไว้แก้ปัญหาปากท้องเท่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยและเสรีภาพก็ได้ พรรคคอมมิวนิสต์แบบจีนก็แก้ปัญหาปากท้องได้ หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ, ประชาธิปัตย์ และพรรคอื่นๆ ก็ชูนโยบายแก้ปัญหาปากท้องเป็น “จุดขาย” กันทั้งนั้น
แล้วพรรคเพื่อไทย, ก้าวไกล เก่งเรื่องแก้ปัญหาปากท้องมากกว่าจริงหรือ ถ้าดูจากสมัยทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้นำรัฐบาลสองสมัย ก็ยอมรับกันว่ามีวิสัยทัศน์และฝีมือแก้ปัญหาปากท้องได้ดี โดยเริ่มนโยบายสวัสดิการ กองทุนหมู่บ้าน, 30 บาทรักษาทุกโรคที่จับต้องได้ ทำให้ในเวลาต่อมาพรรคการเมืองต่างๆ เน้นการแข่งขันเชิงนโยบายกันมากขึ้น
แต่ความสำเร็จแบบทักษิณก็ไปต่อไม่ได้ ถูกพังลงด้วยมวลชนฝ่ายกษัตริย์นิยม และรัฐประหาร 2549, รัฐประหาร 2557 เพื่อปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อีกทั้งพรรคอนาคตใหม่ก็ถูกยุบไปด้วยกลุ่มอำนาจที่เคยทำกับทักษิณ ถึงวันนี้ก้าวไกลจะมีนโยบายด้านสวัสดิการต่างๆ และเพื่อไทยจะมีนโยบายแก้ปัญหาปากท้องที่เชื่อว่าดีกว่าพรรคคู่แข่ง แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่า สุดท้ายแล้วจะไม่จบแบบเดิมๆ หากประเทศนี้ยังไม่เป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพได้จริง
ประชาธิปไตยที่พูดถึงกันในโลกทุกวันนี้ ย่อมหมายถึง ประชาธิปไตยสมัยใหม่ หรือเสรีประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน มีเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก การชุมนุม และมีความยุติธรรมบนหลักความเสมอภาคทางกฎหมายตามหลักนิติรัฐอย่างชัดเจน
ปัญหา house arrest หรือการกักบริเวณให้อยู่ภายในบ้านของตนเอง ที่ศาลกระทำกับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 คือปัญหาการไม่มีเสรีภาพ และการไม่ได้รับความยุติธรรมบนหลักความเสมอภาคทางกฎหมายตามหลักนิติรัฐ เพราะประเทศนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย
หากจะว่าไป ปัญหา house arrest ที่เกิดขึ้นในสังคมเราเวลานี้ คล้ายกับกรณีกาลิเลโอในยุคกลางเลย เหตุผลของการกักบริเวณ ก็คือเหตุผลเดียวกัน นั่นคือ "ห้ามพูดความจริงที่ฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ยอมรับ” หรือไม่อยากให้ประชาชนทั่วไปยอมรับว่ามันเป็นความจริงที่ต้องพูดกันได้อย่างปกติในพื้นที่สาธารณะ
แต่ที่ต่างคือ "ศาลไต่สวนศรัทธา" (Inquisition) ของศาสนจักรคริสต์ยุคกลางตัดสินว่า "มีความผิด" แล้วจึงลงโทษกักบริเวณกาลิเลโอ ทว่าศาลไทยยังไม่ได้ตัดสินเลยว่าผู้ถูกกล่าวหาคดี 112 มีความผิด ก็ลงโทษกักบริเวณก่อนแล้ว
ในสังคมสมัยใหม่ที่ถือว่า ปัจเจกบุคคลเป็นเจ้าของ "เจตจำนงของตนเอง" และเป็นเจ้าของ "เสรีภาพแห่งมโนธรรม/ความคิดเห็น" (freedom of conscience) การลงโทษกักบริเวณเพียงเพราะพูดความจริง และเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรม ย่อมเป็นการละเมิด “ความเป็นคน" อย่างรุนแรง และขัดกับแนวทางปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติรัฐอย่างชัดแจ้ง เป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปยอมรับไม่ได้ และนักการเมือง พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยก็ยอมรับไม่ได้เช่นกัน
เราต่างรู้ๆ กันหรือปฏิเสธความเป็นจริงไม่ได้ว่าปัญหา house arrest เกิดจากการไม่มีเสรีภาพตั้งคำถาม วิจารณ์ และตรวจสอบสถาบันกษัตริย์ อันเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะอำนาจอธิปไตยไม่เป็นของประชาชนแท้จริง ทำให้เกิดการผูกขาดอำนาจนำทางการเมืองโดยเครือข่ายอำนาจสถาบันกษัตริย์ ผ่านการทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพิ่มการผูกขาดอำนาจนำทางการเมืองของฝ่ายตนมากขึ้นๆ ทำให้เกิดการเลือกตั้งที่ไม่เสรีและเป็นธรรม เกิดระบบสภาที่ไม่สะท้อนการเป็นตัวแทนอำนาจของประชาชน หรือไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิ เสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยของประชาชน แต่ทำหน้าที่ปกป้องอำนาจสถาบันกษัตริย์และเครือข่ายมากกว่า ขณะที่กองทัพ ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญก็ทำหน้าที่ทำนองเดียวกัน
เมื่อเราอยู่ภายใต้ระบบผูกขาดอำนาจนำทางการเมืองโดยเครือข่ายอำนาจสถาบันกษัตริย์ เราจะแก้ปัญหาปากท้องได้อย่างไร จะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสร้างความก้าวหน้าเรื่องสิทธิในสวัสดิการพื้นฐานต่างๆ ได้อย่างไร หากไม่สร้างเวทีประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพให้เราทุกคน ทุกฝ่ายได้พูดถึงปัญหาการผูกขาดอำนาจนำทางการเมือง และเสนอทางแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
คำถามข้างบนนี้ ย่อมเป็นคำถามสำคัญต่อพรรคการเมืองว่า มีนโยบายสร้างประชาธิปไตยที่ทุกคนทุกฝ่ายมีเสรีภาพอย่างแท้จริงได้อย่างไร เฉพาะหน้าเลยคือ นักการเมืองและพรรคการเมืองใส่ใจปัญหา house arrest ในปัจจุบันอย่างไร
บางคนมองว่า การต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยเป็นเรื่องของประชาชน นักการเมือง และพรรคการเมืองไม่ได้มีหน้าที่ต่อสู้เช่นนั้น แต่มีหน้าที่สร้างนโยบายแข่งขันกันให้ประชาชนเลือกผ่านสนามเลือกตั้งเท่านั้น
มุมมองดังกล่าว “ย้อนแย้ง” มาก ในเมื่อนักการเมือง พรรคการเมืองแยกขาดจากประชาชนไม่ได้แต่แรก เพราะความสำเร็จในการแข่งขันเข้ามามีอำนาจรัฐขึ้นกับการเลือกของประชาชนส่วนใหญ่ แล้วพรรคการเมืองจะมีความสัมพันธ์กับประชาชนเฉพาะบนเวทีเลือกตั้งที่ต้องการคะแนนเสียงจากประชาชนเท่านั้น โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องใดๆ กับขบวนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชนได้อย่างไร
พูดอีกอย่างคือ ความคาดหวังของประชาชนต่อนักการเมือง พรรคการเมืองไม่ใช่แค่เรื่องปากท้องเท่านั้น เพราะปัญหาของประชาชนไม่ได้มีแค่เรื่องปากท้อง และถึงแม้ปัญหาปากท้องจะสำคัญมากที่สุด แต่มันแก้ไม่ได้จริง ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ผูกขาดอำนาจนำทางการเมืองและเศรษฐกิจโดยกลุ่มคนยิบมือเดียว ซึ่งก็วนกลับไปที่ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีเสรีภาพได้จริงอีกนั่นเอง
ดังนั้น เราจำเป็นต้องเรียกร้องให้พรรคการเมืองใส่ใจปัญหา house arrest หรือปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่มีเสรีภาพ พูดอีกอย่างคือ เราจำเป็นต้องตั้งคำถามมากขึ้นว่า พรรคการเมืองต่างๆ มีนโยบายรูปธรรมอย่างไรในการสร้างประชาธิปไตย และให้หลักประกันเสรีภาพ
ซึ่งหนีไม่พ้นที่จะตั้งคำถามมากขึ้นว่า พรรคการเมืองต่างๆ มีนโยบายรูปธรรมอย่างไรเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้ประชาชนมีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบได้ เพื่อไม่ให้มีนักโทษทางความคิด และ house arrest อีกต่อไป
พรรคการเมืองมีนโยบายรูปธรรมอย่างไรที่จะปฏิรูปกองทัพให้ขึ้นต่ออำนาจของรัฐบาลจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง ให้อำนาจตุลาการและกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมในแบบที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการปกป้องสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานต่างๆ ของประชาชน บนหลักความเสมอภาคทางกฎหมายตามหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
เพราะเมื่อพรรคการเมืองกับประชาชนไม่อาจแยกขาดจากกันได้ ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่มีเสรีภาพ หรือปัญหาการที่ประชาชนถูกละเมิดเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก ก็ย่อมเป็นปัญหาของพรรคการเมืองด้วยเช่นกัน หรือพูดให้ชัดคือ นักการเมือง พรรคการเมืองก็ถูกละเมิดเสรีภาพดังกล่าวด้วยเช่นกัน จึงไม่ควรละเลยหรือผลักภาระให้ประชาชนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องต้องแบกรับปัญหาอยู่ฝ่ายเดียว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)