'ก้าวไกล' ย้ำข้อเสนอแก้ ม.112 ทำให้ กม.คุ้มครองประมุขได้ดียิ่งขึ้น - ถึงเวลาปฏิรูปกองทัพ เปิดช่องร้องทุกข์ทุจริต

'ก้าวไกล' ย้ำ ข้อเสนอแก้ ม.112 ของก้าวไกลทำให้ประเทศมีกฎหมายคุ้มครองประมุขที่ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้นในการพัฒนาและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ - ถึงเวลาปฏิรูปกองทัพ เตรียมเปิดช่องทางร้องทุกข์ทุจริตกองทัพไม่ให้ซ้ำรอยเงินทอนบ้านพักทหาร

 

26 ต.ค.2565 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้ (26 ต.ค.) พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่หลายพรรคการเมืองออกมาคัดค้านการแก้กฎหมาย ม.112 หรือกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ของพรรคก้าวไกลว่า พรรคก้าวไกลเราเคารพสิทธิของทุกพรรค ที่จะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกับนโยบายของพรรคก้าวไกล แต่ที่ตนจำเป็นต้องชี้แจง เพราะเหตุผลที่หลายพรรคใช้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรืออาจเป็นความจงใจที่จะบิดเบือน เนื้อหาสาระของนโยบายของพรรคก้าวไกล เพราะในเชิงข้อเท็จจริง ข้อเสนอในการแก้ไข 112 ของพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำให้ประเทศเราไม่มีกฎหมายคุ้มครองประมุข แต่เป็นข้อเสนอในการทำให้กฎหมายคุ้มครองประมุขในประเทศเราทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น ในการพัฒนาและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์

พริษฐ์กล่าวว่า กฎหมายมาตรา 112 มี 3 จุดสำคัญที่อาจเป็นปัญหาที่เราเสนอให้แก้ไข

ข้อที่หนึ่ง คือการลดความหนักของโทษ ปัจจุบัน มาตรา 112 กำหนดโทษของการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไว้อยู่ที่จำคุก 3-15 ปี ซึ่งนับเป็นโทษที่หนักเท่ากับการฆ่าคนโดยไม่เจตนา และสูงกว่าโทษหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่นที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงเสนอให้ลดโทษการหมิ่นประมาทพระมหากษัติรย์ จากโทษจำคุก 3-15 ปี เป็น โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งยังคงเป็นโทษที่สูงกว่าโทษหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาที่พรรคก้าวไกลเสนอให้ลดลงจากโทษจำคุก 0-2 ปี มาเหลือแค่โทษปรับ

ข้อที่สอง คือการกำหนดผู้ฟ้องให้ชัดเจน ปัจจุบัน มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ใครๆก็สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษคนอื่นได้ ซึ่งอาจส่งผลอันไม่พึงประสงค์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวอย่างเช่น คนบางกลุ่มอาจตัดสินใจฟ้องคนอื่นด้วยมาตรา 112 ไม่ว่าจะด้วยเจตนาที่ต้องการปกป้องสถาบันฯ หรือด้วยความต้องการจะกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่หากจำเลยถูกดำเนินคดีหรือตัดสินว่าผิด ความรู้สึกไม่พอใจก็อาจไปตกอยู่ที่สถาบันฯ ส่งผลให้สถาบันฯ กลายเป็นคู่กรณีโดยอัตโนมัติ แม้สถาบันฯ อาจไม่ได้รับรู้ถึงกรณีดังกล่าว

“อีกตัวอย่างหนึ่ง คือการที่นักการเมืองหรือข้าราชการบางกลุ่ม นำชื่อของสถาบันฯ ไปปกปิดการทุจริตของตนเอง เช่น ผ่านการระบุว่าโครงการของตนเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ โดยหวังว่าการมีอยู่ของ 112 จะทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบ แต่หากโครงการถูกเปิดโปงว่ามีการทุจริต ความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้น อาจกระทบต่อสถาบันฯ แม้สถาบันฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวก็ตาม” พริษฐ์ กล่าว

ข้อที่สาม คือการวางขอบเขตการบังคับใช้ จริงอยู่ ว่าบทกฎหมายในมาตรา 112 ระบุถึงแค่ความผิดจากการ “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และ อาฆาตมาดร้าย” แต่ในทางปฏิบัติ เราเห็นถึงความคลุมเครือและความไม่แน่นอนในการบังคับใช้มาโดยตลอด ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงเสนอให้มีการบัญญัติให้ชัดเจน เพื่อคุ้มครองกรณีการแสดงความเห็นโดยสุจริตหรือการพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธาณะ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกัน กับเหตุยกเว้นความผิด และเหตุยกเว้นโทษ สำหรับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ณ ปัจจุบัน

นอกจากนี้ พริษฐ์กล่าวอีกว่า หากพรรคการเมืองอื่นคัดค้านข้อเสนอการแก้ไข 112 เพราะเชื่อจริงๆว่าการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดที่ร้ายแรงถึงขั้นสมควรโดนขังคุกถึง 3-15 ปี เชื่อจริงๆ ว่าการให้ใครฟ้อง 112 กับใครก็ได้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อการปกป้องชื่อเสียงของสถาบันฯ หรือเชื่อจริงๆว่า การแสดงความเห็นโดยสุจริตเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำได้ในสังคมไทย ก็เคารพสิทธิของท่านที่จะคิดเห็นดังกล่าว แม้จะขออนุญาตเห็นต่าง

แต่หากพรรคการเมืองอื่น ยังยืนยันคัดค้านข้อเสนอการแก้ไข 112 ด้วยการยกเหตุผลที่จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงของสิ่งที่พรรคก้าวไกลนำเสนอ ตนก็อยากให้ท่านมีความจริงใจและจริงจังมากขึ้น ในการร่วมกันแลกเปลี่ยนถึงข้อเสนอในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์

สุดท้าย พริษฐ์ย้ำว่า นอกจากชุดนโยบาย “การเมืองไทยก้าวหน้า” ที่เราได้เปิดต่อประชาชนไปแล้ว ยังมีอีก 8 ชุดนโยบาย รวมกันเป็น 9 ชุดนโยบาย ที่เราจะทยอยเปิดต่อประชาชนต่อไป โดยชุดต่อไปที่เราจะเปิดในวันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน คือชุด “สวัสดิการไทยก้าวหน้า” เพื่อฉายภาพให้ประชาชนเห็นถึง ระบบสวัสดิการแบบครบวงจร ที่พรรคก้าวไกลต้องการสร้าง เพื่อรับประกันความมั่นคงในชีวิตกับประชาชนคนไทยทุกคนตั้งแต่เกิดจนแก่

ถึงเวลาปฏิรูปกองทัพ เตรียมเปิดช่องทางร้องทุกข์ทุจริตกองทัพไม่ให้ซ้ำรอยเงินทอนบ้านพักทหาร

พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวทวงถามความรับผิดชอบของกองทัพต่อกรณีการทุจริตหักหัวคิวการการกู้ซื้อบ้านพักสวัสดิการ ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวตามที่ ผบ.ทบ.กล่าวอ้าง พร้อมเสนอทางออกปฏิรูปกองทัพตามนโยบายพรรคก้าวไกลเพื่อแก้ปัญหา

พิจารณ์ระบุว่าหลังจากที่มีการเปิดประเด็นมาแล้ว 1 สัปดาห์ แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีและอดีตผบ.ทบ. กลับนิ่งเฉย ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ต่อประเด็นนี้ พยายามจะทำให้เห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กและตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ลอยตัวเหนือปัญหา พล.อ. ณรงค์ภัณฑ์ จิตแก้วแท้ ผบ.ทบ. ระบุว่าเป็นปัญหาส่วนตัวระหว่างผู้ประกอบการกับกำลังพล และ โฆษกกองทัพบกออกมาพูดว่า เรื่องเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยครั้งนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกรณีของจ่าคลั่ง จากโศกนาฎกรรมที่โคราช เพราะกองทัพทราบดีว่า หากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีลักษณะคล้ายกัน และเชื่อมโยงถึงกัน ก็จะสร้างความกังวลต่อสังคม และแรงกดดันมหาศาลมายังกองทัพ และแน่นอนว่าจะทำให้ข้อเสนอปปฏิรูปกองทัพของพรรคก้าวไกล ได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น

พิจารณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเอกสารหลักฐานที่ได้มามีข้อสังเกต 3 ประเด็น 

เรื่องแรก เราไม่สามารถมองเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวได้ เพราะ หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2554-2564 พบว่ามีการอนุมัติรายการพบว่าจำนวนรายการที่อนุมัติวงเงินที่มาซื้อบ้านและที่ดิน 620 รายการ คิดเป็นยอดวงเงินที่ได้รับการอนุมัติกว่า 821 ล้านบาท โดยมีการบันทึกว่ามีการหักเปอร์เซ็นมากกว่า 5% ที่โดนหักจริงมากถึง 6-7% คิดเป็นเงิน 61.5 ล้านบาท ถ้าแยกออกมาเป็นรายการละ 1.5 ล้าน จะถูกหักออกไป 7-8 หมื่นบาท ผู้ได้รับผลกระทบมีตั้งแต่ยศสิบตรี-พันโท มีทั้งสิ้น 400 นาย คนเกี่ยวข้อง 35 มีระดับพลตรี 6 นาย พันเอก 14 นาย พันโท 2 นาย พันตรี 4 นาย ร้อยเอก 2 นาย ร้อยโท 2 นาย ร้อยตรี 1 นาย จ.ส.อ. 3 นาย และ ข้าราชการพลเรือนกลาโหม อีก 1 คน ซึ่งมีการทำเป็นขบวนการจึงไม่สามารถอ้างว่าไม่เกี่ยวกับกองทัพได้

ประเด็นที่ 2 ต้องเร่งให้ความเป็นธรรมต่อนายทหารชั้นผู้น้อยจำนวนมาก โดยในจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ 400 คน เป็นระดับนายสิบมากกว่า 300 คน จึงอยากจะสื่อสารไปยังพล.อ. ประยุทธ์ ขอให้หยุดคิดเรื่องทางการเมือง แต่ควรจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง คือ นอกจากการนำตัวผู้กระทำผิด มาลงโทษ ให้ความเป็นธรรมต่อนายทหารชั้นผู้น้อย ถึงแม้กองทัพจะยกเลิกโครงการนี้ไปแล้วแต่เรากลับไม่ได้ยิน ว่าจะมีการสืบสวน นำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยเลย

ประเด็นที่สาม ระบบร้องทุกข์ของกองทัพต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน จากเหตุการณ์นี้เมื่อมีการร้องเรียนผู้ร้องเรียนกลับถูกคุกคามจากนายทหารนายหนึ่ง หากปล่อยเรื่องนี้ให้เงียบไป นี้จะเป็นกรณีศึกษาที่ทำให้ ทหารชั้นผู้น้อยไม่กล้าที่จะออกมาร้องทุกข์ ร้องเรียน หรือแม้กระทั่งร้องเรียนการทุจริตของผู้บังคับบัญชา

ดังนั้น การแก้ปัญหาในระยะสั้น กมธ. พัฒนาการเมือง ของ ส.ส. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์เตรียมออกหนังสือ เชิญ รมต.กลาโหม ผบ.ทบ. เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก และผู้ประกอบการมาชี้แจง เพื่อเร่งหาแนวทางในการคืนความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทหารชั้นผู้น้อย ระยะกลางยังมีอีกหลายกรณียังมีกรณีคล้ายๆกันนี้ เกิดขึ้นในพื้นที่อื่น นอกจาก โคราชและ ลพบุรี ต้องสืบสวน ขยายผล ส่วนระยะยาวต้องทำการปฏิรูปกองทัพ เพิ่มสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อย ให้ปลอดภัย  มั่นคง และมีอนาคต รายได้ต้องเหมาะสม สอดคล้องกับค่าครองชีพ โอนตรง โอนครบ ไม่มีหัก ไม่มีทอน ตามนโยบายของพรรคก้าวไกล

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท