'สิระ-ก้าวไกล' ค้าน มติ ครม.ให้ต่างชาติซื้อที่ดิน

'สิระ เจนจาคะ' อดีต ส.ส.พปชร. ค้านมติ ครม.ให้ต่างชาติซื้อที่ดิน เตรียมยื่นผู้ตรวจการฯ สอบขัด รธน.หรือไม่  - 'ก้าวไกล' จวกนโยบายต่างชาติซื้อที่ หวั่นกลายร่างเป็นนอมินีเอาเปรียบคนไทย ชี้ควรทำให้คนไทยมีบ้านก่อน - รองโฆษกฯ ย้ำคนต่างชาติมีศักยภาพสูง ถึงซื้อที่ดิน 1 ไร่ได้ หากใช้ผิดเงื่อนไขต้องขายคืน

30 ต.ค. 2565 เว็บไซต์สยามรัฐ รายงานว่านายสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ  เปิดเผยว่าวันนี้ตนขอพูดในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับมติครม. มติครม.ให้ชาวต่างชาติลงทุนในไทย 40 ล้านบาท 3 ปี สามารถซื้อที่ดินไทยได้ 1 ไร่ ไม่ว่าจะลงทุนของตั๋วแลกเงินหรือฝากเงิน  ซึ่งตนเห็นว่าแผ่นดินไทยต้องเป็นของคนไทย ที่ผ่านมาตนรู้อยู่แล้วว่าจะมีกรณีแบบนี้ แต่ไม่ใช่ลักษณะขายแผ่นดินแบบนี้  อยากจะฝากถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ  ทบทวมติครม.ให้รอบคอบมากกว่านี้ และอยากให้ฟังความเห็นจากประชาชนก่อนไม่ใช่มัดมือชก เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศชาติ เกี่ยวกับคนทั้งประเทศ ตนคิดว่าไม่ยุติธรรมกับแผ่นดินไทย ที่บรรพบุรุษใช้เลือดเนื้อเข้าแลกมา เพื่อให้เรามีประเทศนี้ แต่รัฐบาลกลับมาทำแบบเรื่องนี้ ตนจะคัดค้านให้ถึงที่สุด

"ผมจะไปยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ตรวจสอบมติ ครม.ดังกล่าวขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ และขอให้นำเรื่องเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณามีผลดี ผลเสียอย่างไร และ
อยากให้ประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ผมจะได้รวบรวมข้อมูลความคิดเห็น เพื่อส่งให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯต่อไป" นายสิระ กล่าวและว่า อยากถามว่า ในวันหาเสียง พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นปราศรัยให้คำมั่นสัญญาว่า "แผ่นดินนี้ให้ผมเกิด ให้ผมกินอยู่ ให้ผมหลับนอน ให้ผมมีอาชีพ ผมต้องรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้กับลูกหลานในอนาคต" ท่านยังจำคำพูดตัวเองได้หรือไม่ แล้วทำไมมติครม.ถึงทำสวนทางกับสิ่งที่พูดไว้ หรือความจำเสื่อมไปหมดแล้ว

นายสิระ ยังกล่าวฝากถึงนายกฯว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทีมเศรษฐกิจเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาล้มเหลว ผิดพลาด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษกิจสำเร็จเป็นรูปธรรมเลย มีแต่เสนอให้กู้เงินอย่างเดียว รวมทั้งเรื่องล่าสุดให้คนต่างด้าวซื้อที่ดินได้อีก ทั้งที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีหลายอย่าง แต่ทีมเศรษฐกิจคิดไม่เป็น ควรจะพิจารณาตัวเองลาออกไปได้แล้ว อย่าอยู่ขวางคนอื่นที่เขามีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานแทนดีกว่า

'ก้าวไกล' จวกนโยบายต่างชาติซื้อที่ หวั่นกลายร่างเป็นนอมินีเอาเปรียบคนไทย-ชี้ควรทำให้คนไทยมีบ้านก่อน

ทีมสื่อพรรคก้าวไกลแจ้งข่าวว่าวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล วิจารณ์กรณีคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ให้ชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง 2) กลุ่มผู้เกษียณอายุ 3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษให้สามารถซื้อบ้านพร้อมที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทไม่น้อยกว่า 3 ปี

โดยในส่วนของวรภพ ระบุว่าข้อน่ากังวลหลักของเรื่องนี้ คือเป้าหมายของรัฐบาลในการเพิ่มชาวต่างชาติ 4 กลุ่มเป้าหมายให้ได้ 1 ล้านคน ภายใน 5 ปี ซึ่งจะนำไปสู่ความต้องการซื้อบ้านและที่ดินเพิ่มขึ้นในประเทศไทยอีกเป็นหลายแสนยูนิต ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือราคาบ้านและที่ดินที่จะสูงขึ้น โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะที่คนไทยอีกจำนวนมากไม่มีโอกาสแม้แต่จะซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้ จากราคาบ้านที่แพงขึ้นทุกวัน

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรจะมาควบคู่กันคือ สวัสดิการช่วยผ่อนบ้าน สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อช่วยให้คนไทยที่มีรายได้น้อย สามารถมีบ้านเป็นสินทรัพย์ของตนเองได้ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อย สามารถกู้ซื้อบ้านได้ การสนับสนุนให้คนไทยมีบ้านเป็นของตัวเองจะสร้างความมั่นคงในชีวิต และความเข้มแข็งในสังคม ซึ่งสิงค์โปร์เคยวิธีการนี้เป็นแนวนโยบายที่ทำให้ประชากรมากกว่า 90% มีบ้านเป็นของตัวเองได้มาแล้ว

“ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะคิดถึงคนไทยกลุ่มนี้หรือไม่ ที่จะได้รับผลกระทบ ทำให้โอกาสการซื้อบ้านยิ่งยากขึ้นไปอีก จากทั้งราคาบ้านที่จะแพงขึ้นจากความต้องการของต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ถ้ารัฐบาลจะเปิดช่องให้คนต่างชาติ ซื้อบ้านและที่ดินได้ ช่วยมาพร้อมกับมาตรการสวัสดิการอุดหนุนให้คนไทยซื้อบ้านได้ด้วยบ้าง” วนภพกล่าว

ขณะที่วิโรจน์ ระบุว่าในปัจจุบันการถือครองที่ดิน อาคาร และกิจการของชาวต่างชาติ มีการใช้คนไทยมาเป็นตัวแทน หรือ “นอมินี” กันเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว จึงไม่ได้กังวลว่านโยบายนี้จะเป็นการ “ขายชาติ” ได้แบบเทน้ำเทท่า แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่า คือการนำไปสู่ความต้องการซื้อที่ดินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้คนไทยต้องซื้อที่ดินในราคาที่แพงขึ้น เป็นเจ้าของที่ดินได้ยากลำบากมากขึ้น

นอกจากนี้ อาจจะทำให้เกิดการตั้งบริษัทนอมินีที่เอารัดเอาเปรียบคนไทยมากขึ้น ในลักษณะของการทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง เพื่อสร้างบ้านขายชาวต่างชาติเดียวกัน โดยที่คนไทยได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยจากการจ้างงานพื้นฐานเท่านั้น

วิโรจน์ยังระบุด้วย ว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาที่จะขัดขวางการลงทุนจากต่างประเทศ เพียงแต่ต้องการให้การลงทุนจากชาวต่างชาติมีความเป็นธรรมกับคนไทย ทั้งการจ้างงาน การจัดซื้อจัดจ้างวัสดุอุปกรณ์ การพัฒนาธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานที่ต่อเนื่อง และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพราะทุกวันนี้บริษัทนอมินีต่างๆ ก็ไม่มีกลไกจากภาครัฐในการควบคุมดูแลอยู่แล้ว อย่างที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ทุกวันนี้นักลงทุนชาวจีนมาเปิดบริษัทนอมินีร่วมกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ยึดครองธุรกิจต่างๆ แบบกินรวบ จนเม็ดเงินก้อนใหญ่จากการท่องเที่ยวไปตกอยู่ที่นักลงทุนชาวจีน โดยที่คนเชียงใหม่ได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการควบคุมการลงทุนจากชาวต่างชาติให้มีความเป็นธรรม ไม่มีระบบนอมินี การจะให้สิทธิชาวต่างชาติซื้อที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย ผมคิดว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย แต่ถ้ารัฐบาลยังคงปล่อยปละละเลยอย่างที่เป็นอยู่ ในที่สุด ก็จะเกิดบริษัทนอมินีมาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง ทำเองขายเองให้กับชาวต่างชาติ ชาติเดียวกันแล้วก็ขนเงินขนกำไรกลับประเทศ ในขณะที่คนไทยได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจน้อยมาก หนำซ้ำยังอาจจะได้รับผลกระทบจากราคาที่ดินที่แพงขึ้นอีกด้วย” วิโรจน์กล่าว

รองโฆษกฯ ย้ำคนต่างชาติมีศักยภาพสูง ถึงซื้อที่ดิน 1 ไร่ได้ หากใช้ผิดเงื่อนไขต้องขายคืน

สำนักข่าวไทย รายงานว่า น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยกับกฎกระทรวงเรื่องการซื้อที่ดินของคนต่างด้าวว่า ในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว การให้สิทธิคนต่างด้าวถือครองที่ดิน 1 ไร่นั้น มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ  ต้องเป็นคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภทที่ได้รับวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ LTR Visa” เท่านั้น คือ

1. กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง คือ มีทรัพย์สินอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญสหรัฐ, มีรายได้ส่วนบุคคลขั้นต่ำ 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีการลงทุนในไทยอย่างน้อย 500,000 เหรียญสหรัฐ

2. กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ คือ มีอายุ 50 ปีขึ้นไปที่รับเงินบำนาญและมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐต่อปีและมีการลงทุนในไทยอย่างน้อย 250,000 เหรียญสหรัฐ

3. กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย  คือ มีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐต่อปีและจบการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป หรือครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือได้รับเงินทุน Series Aในธุรกิจไม่น้อยกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ, ทำงานในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 3 ปีที่ผ่านมา และมีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี

4. กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ คือ มีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา, มีสัญญาจ้างทำงานมีทักษะเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และมีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี

ทั้งนี้กลุ่มต่างด้าวทั้ง 4 กลุ่มต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และมีกรมธรรม์ประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในประเทศ ไทยไม่น้อยกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่าดังนั้นจากหลักเกณฑ์เข้มงวด ที่ต้องเป็น LTR Visa ก่อนมีที่ดิน จึงมีการลดเงื่อนไขระยะเวลาการลงทุนลงจาก 5 ปีเหลือ 3 ปี เพื่อจูงใจบุคคลที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภทนี้มาลงทุน  จึงไม่ได้ลดเพื่อให้คนต่างด้าวซื้อที่ดินได้ง่ายขึ้น  แต่กลับคัดกรองคนคุณภาพเข้าสู่ประเทศไทย พร้อมกับเงินลงทุน  40 ล้านบาท และหากผิดเงื่อนไขในรายละเอียดที่กำหนดจะต้องมีการขายคืนที่ดิน  ทั้งนี้กลุ่มบุคคลนี้จะนำเม็ดเงินเข้าประเทศและเกิดการใช้จ่ายภายในประเทศที่มากขึ้นและเพิ่มการกระจายรายได้เป็นผลดีต่อผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สร้างรายได้ต่อเนื่องให้คนไทยในทุกกิจกรรมที่กลุ่มนี้พำนักอยู่ มีศักยภาพถ่ายทอดองค์ความรู้ให้คนไทย จะส่งผลให้เกิดการลงทุนมากขึ้นและเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ในส่วนที่พรรคเพื่อไทยแถลงว่า “เนื้อหาของกฎกระทรวงปี 2545 ในเรื่องเดียวกันนั้น มีเนื้อหาที่เข้มงวดและกำหนดเงื่อนไขที่คนต่างด้าวซื้อที่ดินได้ยากกว่า” นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะกฎกระทรวงปี 2545 อนุญาตให้ “คนต่างด้าวทุกคน” ที่มีเงิน 40 ล้านบาทก็ซื้อที่ดินได้แล้ว  แต่ ร่างกฎกระทรวงปี 2565 ใหม่นี้ อนุญาตให้เฉพาะ “คนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภทที่ได้รับวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ LTR Visa” เท่านั้น รัฐบาลยังถามความเห็นไปหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังได้ยืนยันวิเคราะห์ว่า หลักการในร่างกฎกระทรวงปี 2565 “ไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน ทั้งด้านการกระตุ้นให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์และไม่เพิ่มแรงกดดันให้ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยภาพรวมปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” นอกจากนี้ที่ดินที่อนุญาตให้ซื้อเป็นที่ดินมีพื้นที่กำหนดชัดเจน

“ลักษณะการกระตุ้นและจูงใจต่างชาติเข้าลงทุนแบบนี้ ในต่างประเทศก็มีเช่นกัน ซึ่งสิทธิประโยชน์แต่ละที่ก็แตกต่างกันไป ซึ่งหลายประเทศก็จูงใจนักลงทุนสามารถขอถือสิทธิ์การพำนักอาศัยถาวร จนเป็นสิทธิพลเมืองนั้นได้” น.ส. ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า สิ่งที่สังคมสงสัยคือ กฎกระทรวงนี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเพื่อไทย และที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่ากฎกระทรวงปี 2545 ออกเพราะผลกระทบจากวิกฤตต้มยำกุ้งและการชำระหนี้ไอเอ็มเอฟนั้น หากเป็นไปตามคำกล่าวอ้าง เหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทำไมไม่เคยให้ความสำคัญปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงฯ เรื่องถือครองที่ดินในช่วงระหว่างปี 2545-2560 เลยทั้งที่ในช่วงนั้นพรรคเพื่อไทยก็มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล แต่วันนี้กลับมาบอกว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลจะแก้ได้ดีกว่านี้ แต่สิ่งที่ประชาชนเห็นในช่วงนั้นคือ พรรคเพื่อไทยมีพฤติกรรมหมกมุ่นให้ความสำคัญแต่กับการแก้ไข พรบ. นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย เสียมากกว่า

“แต่ในทางตรงกันข้ามกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ได้พิจารณาและปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบให้ทันสมัยและเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอย่างรัดกุมและเพื่อประโยชน์ของประชาชนคนไทยทั้งประเทศเสมอ  และยังเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 77 ที่บัญญัติให้ รัฐยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจําเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า  ขอให้ประชาชนทุกคนเชื่อมั่นได้ เพราะรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเสมอมา ไม่เคยมีนโยบายขายชาติ ไม่เคยมีการเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติเพื่อผลประโยชน์ใดๆ รัฐบาลนี้มีแต่ทำประโยชน์ให้คนไทย พัฒนาหารายได้และฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต พร้อมมุ่งจัดสรรที่ดินและคืนสิทธิที่ดินทำกินให้กับพี่น้องเกษตรกร และยังเดินหน้าสร้างโครงการที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มอย่างเสมอภาคโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

อยากให้พรรคเพื่อไทยทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือ นายกฯ ที่กอบกู้ชาติ มาจาก นายกฯ ขายชาติ อันมีพฤติการณ์เช่น ฮั้วต่างชาติโกงโครงการรับจำนำข้าวจนชาวนาไทยเสียชีวิตและทรัพย์สิน  โกงบ้านเอื้ออาทรจนประชาชนไม่มีที่อยู่ อนุมัติเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้เมียนมาโดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน ตรงนี้ต่างหากคือนิยามของ “นายกขายชาติ”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท