เสียงสะท้อนคนน้ำชี อัดรัฐกำหนดนโยบายการจัดการน้ำรวมศูนย์

เวทีเสวนา “เสียงสะท้อนคนลุ่มน้ำชี ถึงนโยบายการบริหารจัดการน้ำ” เห็นพ้องให้ยุติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ อัดรัฐกำหนดนโยบายการจัดการน้ำรวมศูนย์

เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน แจ้งข่าวว่าเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2565 ณ วัดบ้านอีโก่ม ตำบลเทอดไทย อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด เวลา 10.00 น. เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน และเครือข่ายชาวบ้านลุ่มน้ำชี จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร กว่า 300 คน ได้จัดเวทีเสวนา “เสียงสะท้อนคนลุ่มน้ำชี ถึงนโยบายการบริหารจัดการน้ำที่รวมศูนย์ของรัฐ” เห็นพ้องให้ยุติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ อย่างเช่น โครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล และเร่งดำเนินแก้ไขปัญหาเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร เขื่อนธาตุน้อยที่ชาวบ้านลุ่มน้ำชีเรียกร้อง กระทั้งจะศึกษาและประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ในการจัดการน้ำภาคประชาชนแบบมีส่วนร่วม เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่ให้เหมาะสมกับการจัดการน้ำที่ประชาชนเข้าถึงและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

นายจันทรา จันทาทอง กรรมการเครือข่ายชาวบ้านน้ำชีตอนล่าง จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า นโยบายของรัฐทำให้ชาวบ้านเจอปัญหา ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมทำให้พื้นที่การเกษตรของชาวบ้านเสียหาย กระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้าน ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป ประเพณีวัฒนธรรมบางอย่างสูญหาย ซึ่งชาวบ้านพยายามเรียกร้องต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่หน่วยงานรัฐก็เตะถ่วงกระบวนการแก้ไขปัญหา ผลลัพธ์ที่พี่น้องเรียกร้อง รัฐกลับเลือกผลักดันนโยบายมาให้แทนการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ปัจจุบัน ปี พ.ศ.2565 เกิดน้ำท่วมมานานกว่า 3 เดือนแล้ว วงจรชีวิตถูกตัด ระบบนิเวศพัง เศรษฐกิจแย่ลง “ ไม่รู้จะนำเงินมาจากไหน ในเมื่อต้องนำออกมาใช้จัดการกับน้ำท่วม “ อยากให้รัฐรีบจัดการแก้ไขปัญหาที่พี่น้องเรียกร้องนี้ให้แล้วเสร็จ

นายนิมิต หาระพันธ์ กรรมการเครือข่ายชาวบ้านน้ำชีตอนล่าง จ.ยโสธร กล่าวว่า ความมั่นคงในการประกอบอาชีพเปลี่ยนแปลงไป จากเคยมีวัว ควาย นาข้าว ป่าทาม ตอนนี้หายไปหมดแล้ว ก่อนการสร้างเขื่อนไม่เคยอดอยู่อดกิน หาอยู่หากินได้ตลอด หลังจากการสร้างเขื่อนในแม่น้ำชีถึงปัจจุบันแม่น้ำชีถูกกระทำจากการจัดการน้ำที่ล้มเหลวของรัฐ ประชาชนเดือดร้องและต้องมารับผลที่เกิดขึ้น พ.ศ. 2553-2554 เราเริ่มมีการเรียกร้อง เมื่อรัฐสร้างเขื่อนก็ควรต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย 

นายสิริศักดิ์ สะดวก เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน กล่าวว่า เราควรมองไปถึงโครงสร้างในการพัฒนา การกำหนดนโยบายการจัดการน้ำในประเทศไทย มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ 20 กว่าหน่วยงาน กฎหมายกว่า 30 ฉบับ แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ผู้ที่รับชะตากรรมคือพี่น้องประชาชน น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรมากกว่า 2 เดือน ต้องอพยพขนสิ่งของ วัวควาย เป็นความเดือนร้อนจากการบริหารจัดการน้ำที่ล้มเหลวของรัฐ ในอดีตเรามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับแม่น้ำชี เรามองน้ำชีเป็นวิถีชีวิต ไม่ได้แยกน้ำออกจากวิถี เป็นความผูกพันธ์ที่มีต่อน้ำชี แต่พอมีนโยบาย โขง ชี มูล วิถีชีวิตพี่น้องก็เปลี่ยนไปเพราะรัฐพยายามจัดระเบียบพี่น้องในการใช้น้ำโดยใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการเข้ามาควบคุม เขื่อนถูกสร้างขึ้นขวางกั้นแม่น้ำชี  6 ตัว พอสร้างเสร็จเมื่อประมาณปี 2543 มีการทดลองกักเก็บน้ำก็สร้างปัญหาขึ้นมาทันที และทำให้ชาวบ้านเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการสร้างฝายยาง แต่ในความเป็นจริงคือการสร้างเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตรยาวนานและขยายวงกว้าง ทำให้ชาวบ้านต้องได้รับชะตากรรมที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วม เขื่อนเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งได้จริง ในอดีตก่อนการสร้างเขื่อนก็เคยมีน้ำท่วมเกิดขึ้น เป็นน้ำหลาก น้ำมาแล้วก็ไป แต่ปัจจุบันคือน้ำขังท่วมซ้ำซาก ในหลักการของชาวบ้านนอกจากจะเจอนโยบายโครงการ โขง ชี มูล แล้ว แต่พี่น้องต้องมากังวลและลุกขึ้นมาเรียกร้องแบบปฎิเสธโครงการโขง เลย ชี มูล ที่กำลังดำเนินการ โดยที่ผลกระทบจากโขงชีมูลยังไม่ได้รับการแก้ไขไม่เสร็จเลย  ผมมีข้อเสนอ 1.ให้ยุติการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น โครงการ โขง เลย ชี มูล 2.เราจะทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์(SEA)การจัดการน้ำชีภาคประชาชนแบบมีส่วนร่วม 

นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันนโยบายไม่ได้เรียกว่าการสร้างเขื่อนหรือฝายแล้ว แต่เรียกโครงการผันน้ำ เป็นวิธีการของรัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมองแล้วย่อมล้มเหลวเหมือนโครงการจัดการน้ำที่ผ่านมา หลังรัฐประหารรัฐบาลไม่เข้าใจการจัดการน้ำ แต่เข้าใจการจัดการน้ำเป็นวัตถุ และบอกว่าจะทำให้เจริญแต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น วิธีคิดแบบคนอีสานเข้าใจว่าน้ำคือวิถีชีวิต การทำมาหากิน การเดินทาง การเกษตร เป็นต้น การจัดการน้ำจึงเป็นแบบเคารพวิถีชีวิตน้ำ การสร้างเขื่อนไม่สามารถจัดการปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งได้ เขื่อนกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่กีดขวางทางน้ำ ชาวบ้านได้รับความเจ็บปวดจากการสร้างเขื่อน วิถีชีวิตเปลี่ยนไป ปลาที่เคยหาง่ายก็หายไป เหลือแต่ปลาที่อยู่ในอุตสาหกรรมการประมง เรื่องรัฐและนายทุนผูกขาดการสร้างเขื่อนทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบ รัฐได้ละเมิดและทำร้ายสิทธิของประชาชนหลายอย่าง การใช้อำนาจของรัฐไม่เห็นหัวประชาชน ประชาชนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความล้มเหลวเกิดจากรัฐและนายทุนผูกขาด อีสานถูกมองว่า โง่ จน เจ็บ แห้งแล้ง ยากจน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาตลอด ดังนั้น1.ต้องขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชนต้องเป็นการขับเคลื่อนเพื่อสิทธิชุมชน 2.ต้องมาในการขับเคลื่อนการเมืองของภาคประชาชน ซึ่งต้องเป็นการเมืองแบบมีส่วนร่วม 

รศ.ดร.สมชัย ภัทรธนานันท์ ผู้เชี่ยวชาญประจำวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า 30 ปี โขง ชี มูล ซึ่งแม่น้ำชีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราสามารถใช้น้ำได้อย่างอิสระ แต่ต่อมารัฐมามีอำนาจในการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศ ทั้งคน ดิน น้ำ ป่า ออกกฎหมายควบคุมทุกอย่าง รัฐเข้ามาจัดการน้ำแต่เพียงผู้เดียว น้ำคือทรัพยากรของรัฐ รัฐเป็นเจ้าของ ทั้งๆที่น้ำเกิดมาจากธรรมชาติไม่ได้เกิดจากรัฐ เราต้องซื้อน้ำจากรัฐและนายทุน เราสามารถแก้กฎหมายในการจัดการน้ำได้ โดยดึงอำนาจจากรัฐออกมาสู่ประชาชน อำนาจต้องมาอยู่ที่ชุมชนและประชาชน รัฐต้องกระจายอำนาจมาให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำได้ หากรัฐยังจัดการน้ำอยู่ปัญหาก็จะเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น โครงการต่าง ๆ กลายเป็นดังขนมหวานของรัฐ ผลประโยชน์อยู่ที่รัฐ แต่ความเดือดร้อยอยู่ที่ประชาชน โครงการโขง ชี มูล เป็นโครงการที่ตกยุคไปแล้ว ที่คิดว่าชาวบ้านไม่มีน้ำในการทำการเกษตร ชาวบ้านต้องทำการเกษตรอย่างเดียว หากมีน้ำชาวบ้านก็จะมีผลผลิตมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเรามีอาชีพที่หลากหลายไม่ได้มีเพียงการเกษตร “กัญชายังถูกกฎหมายได้ ทำไมเราจะแก้อย่างอื่นไม่ได้”

อาจารย์นิรันดร คำนุ หัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า รัฐไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน มิฉะนั้นแนวคิดและวิธีคิดต่างๆจึงไม่ได้สนใจประชาชน วิธีคิดจึงอยู่ที่การรวมศูนย์อำนาจในการจัดการ การเรียกร้องและภาพสะท้อนของประชาชนที่มีปัญหาจึงเป็นเรื่องเล็ก เทคโนโลยีในการจัดการน้ำที่ใช้มา 30 ปี ไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมของน้ำ ปริมาณน้ำและทิศทางการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงพื้นที่รับรองน้ำก็เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีการจัดการน้ำแบบเขื่อนจึงเกิดปัญหา ซึ่งวิธีคิดในการเรียกร้องอาจจะต้องก้าวข้ามผ่ารการเยียวยา ถ้าคิดแก้ไขปัญหาที่เขาวางระบบไว้แล้วการแก้ไขปัญหาอาจไม่ได้ยั่งยืน เพราะหากจะแก้ปัญหาอย่างยังยื่นควรที่จะมองไปมากกว่านั้น
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท