Skip to main content
sharethis

ป.ป.ช.มีมติชี้มูล 'ผู้กำกับโจ้' ร่ำรวยผิดปกติ ขอให้ทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 1,358 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

15 พ.ย.2565 วานนี้ (14 พ.ย.) สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงข่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ หรือ “ผู้กำกับโจ้” ร่ำรวยผิดปกติ ขอให้ทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 1,358 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

โดยมีรายละเอียดทรัพย์สิน จำนวน 32 รายการ ประกอบด้วย 1.เงินฝากในบัญชีธนาคาร 3 แห่ง จำนวนกว่า 1,243 ล้านบาท 2.บ้าน 2 หลัง พร้อมที่ดินรวม 5 ไร่ มูลค่ากว่า 54 ล้านบาท 3.รถยนต์ จำนวน 15 คัน มูลค่ากว่า 6.1 ล้านบาท 4.หนี้สิน จากการผ่อนชำระตามสัญญา เช่าซื้อรกยนต์ที่ลดลงผิดปกติ จำนวนกว่า 53 ล้านบาท

กรณี ผู้กำกับโจ้ เริ่มขึ้นหลังจากเมื่อ 22 ส.ค.2564 เดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก "ทนายคลายทุกข์" ระบุว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจชั้นผู้น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ทรมานผู้ต้องหาจนเสียชีวิตที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2564 หลังจากตำรวจสภ.เมืองนครสวรรค์จับกุมตัวผู้ต้องหาชาย 1 คนและหญิง 1 คน จากชัยนาทในคดียาเสพติดซึ่งมียาบ้าหลักแสนเม็ดมาที่สภ.เมืองนครสวรรค์ โดยทางตำรวจมีการเรียกเงินจากผู้ต้องหา 1 ล้านบาทจนผู้ต้องหายอมจ่าย แต่มีตำรวจยศพันเอกรายหนึ่งจะเอาเงิน 2 ล้าน โดยตำรวจยศพันเอกรายนี้ได้นำถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาชายจนขาดอากาศและเสียชีวิต

จากนั้นเมื่อพวกเขานำตัวผู้เสียชีวิตส่งโรงพยาบาลและมีการบอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาบอกแพทย์ว่าผู้เสียชีวิตเกิดจากการเสพยาเกินขนาด และทางเจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาหญิงไปโดยบอกให้ไม่ต้องพูดอะไรเพื่อแลกกับอิสรภาพไม่ต้องถูกดำเนินคดี

หลังการเปิดเผยของเดชา อีก 2 วันต่อมาษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่อ้างว่าได้มาจากตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่พอใจกับการกระทำของพ.ต.อ. ธิติสรรค์ โดยในคลิปมีข้อมูลวันที่และเวลาเกิดเหตุที่ระบุว่าเป็นวันที่ 5 ส.ค.2564 เวลาประมาณ 13.45 น. โดยภาพที่ปรากฏในคลิปเป็นกลุ่มบุคคลกำลังใช้ถุงพลาสติกหลายใบคลุมหัวคนรูปร่างใหญ่สวมเสื้อสีเหลืองที่คาดว่าเป็นผู้ต้องหาและมีการใช้กำลังดึงจนคนที่ถูกคลุมหัวนอนแน่นิ่งไปจนกลุ่มบุคคลดังกล่าวต้องช่วยกันปั๊มหัวใจ

หลังจากกรณีดังกล่าวถูกเปิดเผย ทางด้านหน่วยงานตำรวจก็ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขณะนั้น ลงนามในคำสั่งให้ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ออกจากราชการไว้ก่อนตั้งแต่วันที 24 ส.ค.2564 เพื่อรอฟังผลการสอบสวนทางวินัยกรณีถูกกล่าว และสามารถติดตามจับกุมได้ทั้งหมดในภายหลังและนำมาสู่การดำเนินคดีในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ เป็นผู้ที่ได้เข้าอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 รุ่นที่ 2/61 "เป็นเบ้าเป็นแม่พิมพ์" ซึ่งในรุ่นดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมอีกเช่น  พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล 2A-058 และพล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช 2A-057 เป็นต้น ต่อมาวันที่ 26 ส.ค. 2564 พล.ร.อ.ปวิต รุจิเทศ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ และผู้บัญชาการสำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ พ้นสภาพจากการเป็นจิตอาสา 904 เนื่องจากได้กระทำการในสิ่งที่ให้เกิดความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและสถานภาพจิตอาสา 904 ลงวันที่ 25 ส.ค. 2564 พร้อมเรียกคืนเครื่องแต่งกาย หมวก ผ้าพันคอ เครื่องหมายจิตอาสา 904 (ปีกโลหะ/ปีกผ้า) บัตรประจำตัวจิตอาสา 904 และใบประกาศนียบัตร

ขณะที่เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ และพวกรวม 7 คน ในคดีร่วมกันใช้ถุงดำคลุมศีรษะจิระพงศ์ ธนพัฒน์ หรือมาวิน ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต โดยที่คำพิพากษาสรุปว่า พ.ต.อ.ธิติสรรค์ จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 เเละ 7 กระทำผิดตามฟ้องทุกข้อหา โดยให้ลงโทษข้อหาฆ่าโดยโหดร้ายทารุณฯ ที่เป็นบทที่มีโทษหนักสุดคือให้ประหารชีวิต แต่ศาลเห็นว่ามีเหตุบรรเทาโทษจากการที่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ประกอบกับหลังเกิดเหตุ จำเลยทั้ง 7 มีการช่วยเหลือปั๊มหัวใจและนำผู้เสียชีวิตขณะหมดสติส่งโรงพยาบาลให้แพทย์ทำการกู้ชีพ รวมทั้ง ช่วยค่าทำศพผู้เสียชีวิตจำนวน 30,000 บาท และร่วมกันวางเงินเยียวยาให้กับผู้เสียชีวิต คนละ 300,000 บาท ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต

ส่วนจำเลยที่ 6 ผิดข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำคุก 5 ปี 4 เดือน เนื่องจาก พบข้อเท็จจริงตามภาพ จำเลยเข้ามาพบผู้เสียชีวิตถูกคลุมถุงดำ มีสีหน้าตกใจและไม่ได้อยู่ร่วมขณะใช้ถุงดำคลุมหัวผู้เสียชีวิต

ส่วนที่มีการยื่นคำร้องขอให้ผู้กระทำความผิด ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวน 1 ล้าน 5 แสนบาท ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ความละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ กฎหมายให้สิทธิผู้เสียหาย เรียกร้องค่าเสียหาย จากหน่วยงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือต้นสังกัด โดยไม่สามารถเรียกร้องกับผู้กระทำความผิดได้โดยตรง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net