ศาลสั่งปรับ 800 บ.จำเลยคดีสาดสี-ชก ตร.ถือหัน LRAD ใส่ผู้ชุมนุม แต่ยกฟ้องข้อหาทำร้ายเหตุเจ็บเล็กน้อย

ศาลจังหวัดเชียงใหม่สั่งปรับ 800 บาทจำเลยคดีสาดสีและชกตำรวจผู้ถือเครื่อง LRAD ใส่ผู้ชุมนุมในการชุมนุม “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” แต่ยกฟ้องข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยเหตุว่าเจ็บเล็กน้อยหายได้ไม่เกิน 3 วัน 

15 พ.ย.2565 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่าที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่อ่านคำพิพากษาคดีของ “โอ๊ต” (สงวนนามสกุล) ที่อัยการฟ้องเป็นจำเลยในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่โดยใช้กำลัง ทำร้ายเจ้าหน้าที่และทำให้เสียทรัพย์จากกรณีสาดน้ำสีและชกตำรวจนอกเครื่องแบบที่เปิด LRAD ใส่ผู้ชุมนุมในคาร์ม็อบ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” เมื่อ 29 ส.ค.2564

#ล้านนาต้านศักดินาทัวร์ ร้อง รมว.ยุติธรรม ส่งตัวผู้ต้องขังทางการเมืองที่ติดโควิด-19 ไปรักษา รพ.อื่นๆที่มีความเชี่ยวชาญ

นอกจากที่อัยการฟ้องแล้ว ส.ต.อ.สุริยันต์ ชัยมงคล เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำ สภ.ช้างเผือก ที่ถูกชก ผู้ร้องในคดีนี้ได้ยื่นขอเรียกค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญา ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 โดยเรียกค่าเสียหายจากเสื้อผ้า หมวกและรองเท้าที่เสียหายจากการเปื้อนน้ำผสมสี จำนวน 2,000 บาท นอกจากนี้ยังเรียกค่าเสียหายต่อจิตใจอีก 50,000 บาทด้วย

ศาลอ่านคำพิพากษาโดยสรุปได้ว่าตามฟ้องของอัยการระบุว่าการชุมนุมคาร์ม็อบเมื่อ 29 ส.ค.2564 ขบวนรถขับวนรอบเมืองเชียงใหม่ส่วนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองประจำอยู่ที่ศูนย์ราชการที่ปิดประตูทางเข้า-ออก พร้อมใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ยุติการชุมนุมแต่ฝ่ายผู้ชุมนุมพยายามเข้าไปในศูนย์ราชการโดยที่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต

ฟ้องระบุอีกว่าทางฝ่ายผู้ชุมนุมมีการขว้างปาน้ำสีใส่เจ้าหน้าที่ ทางตำรวจจึงใช้เครื่องขยายเสียงความถี่สูง (LRAD) เปิดใส่ผู้ชุมนุม จากนั้นจำเลยเข้าไปต่อยเจ้าหน้าที่เป็นการขัดขืนการทำงาน โจทก์ขอให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน 12,000 บาท

ทั้งนี้โอ๊ตให้การปฎิเสธและต่อสู้ว่าเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้เพราะเห็นว่ารัฐบาลบริหารจัดการวัคซีนโควิดไม่มีประสิทธิภาพและเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวนักโทษการเมืองด้วย โดยเขาทำหน้าที่ดูแลผู้ร่วมชุมนุมที่ใช้ลูกโป่งปาน้ำสีเป็นสันติวิธี แต่เขาเห็นว่าตำรวจใช้ LRAD ใส่ผู้ชุมนุมเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอีกทั้งผู้ใช้เครื่องก็แต่งกายนอกเครื่องแบบไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นตำรวจด้วย

ศาลระบุว่าโอ๊ตเป็นผู้ใช้น้ำสีและชกส.ต.อ.สุริยันต์ที่ได้รับหน้าที่ถือเครื่องดังกล่าวถือเป็นการทำให้ทรัพย์สินเสียหายและขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อตรวจสอบการวินิจฉัยของแพทย์แล้วพบว่าส.ต.อ.สุริยันต์บาดเจ็บที่ปลายคางและคอด้านซ้ายเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อยรักษาหายได้ใน 3 วัน ไม่ถึงกับเป็นการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296

ส่วนที่โอ๊ตต่อสู้ว่าไม่ทราบว่าส.ต.อ.สุริยันต์เป็นเจ้าหน้าที่เพราะไม่ได้ใส่เครื่องแบบนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะส.ต.อ.สุริยันต์ได้เข้าห้ามปรามผู้ชุมนุมและยังมีเครื่องขยายเสียงอยู่กับตัวด้วย และจำเลยไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นการป้องกันตัวเพราะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้เปิดเครื่อง L-RAD ทันทีเมื่อผู้ชุมนุมเดินทางถึงที่เกิดเหตุแต่เมื่อผู้ชุมนุมปาลูกโป่งน้ำแล้วเจ้าหน้าที่ถึงเปิด เนื่องจากจำเลยเข้าร่วมการชุมนุมและเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องมือดังกล่าว

ศาลจึงพิพากษายกฟ้องข้อทำร้ายร่างกาย แต่ยังลงโทษข้อหาทำให้เสียทรัพย์และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทจึงให้ลงโทษบทที่หนักที่สุดคือทำให้เสียทรัพย์ ลงโทษปรับเงินจำเลย 1,500 บาท แต่ขณะเกิดเหตุโอ๊ตยังมีอายุไม่ถึง 18 ปี ให้ลดเหลือ 1,200 บาท และยังให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาให้ลดอีกเหลือปรับ 800 บาท

ศาลยังสั่งให้จ่ายค่าสินไหมทดแทน 2,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีเป็นค่าเสื้อผ้าของส.ต.อ.สุริยันต์ที่เสียหายจากสีน้ำ อย่างไรก็ตามฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำสืบในส่วนค่าเสียหายต่อจิตใจที่ส.ต.อ.สุริยันต์เรียกไว้อีก 50,000 บาท ศาลจึงให้ยกไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนนี้

อย่างไรก็ตามทางศูนย์ทนายความฯ ได้เผยแพร่สรุปการสืบพยานในศาลเอาไว้ด้วย ปรากฏว่าทางฝ่ายเจ้าหน้าที่เองได้ระบุว่าการปฏิบัติงานไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอน

ร.ต.อ.มนตรี ปิงแก้ว รองสารวัตรสืบสวน สภ.ช้างเผือก ผู้บังคับบัญชาของส.ต.อ.สุริยันต์ ได้เบิกความไว้ว่า ทางฝ่ายผู้ชุมนุมได้ใช้รถดันแท่งแบริเออร์ที่ขวางประตูศูนย์ราชการอยู่และมีการขว้างปาลูกโป่งน้ำและขวดน้ำทำให้เจ้าหน้าที่แตกฮือและขยับไปทางประตูศาลากลางเขาจึงได้เปิดเครื่อง LRAD เพื่อทำให้ผู้ชุมนุมถอยออกไปแต่ผู้ชุมนุมยังขว้างปาอยู่ขณะเดียวกันก็มีชายใส่เสื้อดำถือถังสีน้ำมาสาดใส่ส.ต.อ.สุริยันต์

ทั้งนี้ร.ต.อ.มนตรีก็รับว่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุไม่ได้เป็นตามขั้นตอนจากเบาไปหนักเนื่องจากเป็นเหตุการณ์ชุลมุน และเห็นว่าการชุมนุมไม่ได้เป็นไปโดยสงบเนื่องจากมีการขว้างปาลูกโป่งน้ำและขวดน้ำใส่เจ้าหน้าที่ และตัวเขาเองเป็นผู้ที่สามารถกดเปิดปิดเครื่องมือดังกล่าวได้เองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา

ส่วน ส.ต.อ.สุริยันต์ เบิกความว่าตนเป็นคนถือเครื่องเท่านั้นส่วนผู้ที่เปิดปิดเครื่องเป็นร.ต.อ.มนตรี และเห็นว่าเครื่องดังกล่าวจะเกี่ยวเครื่องแบบได้เลยไม่ได้แต่งเครื่องแบบแต่จำเลยก็น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่เพราะอยู่กับผู้บังคับบัญชาตลอดและถือเครื่องมือเอาไว้ และเขาเข้าใจว่าเครื่องดังกล่าวเป็นเสียงลักษณะไซเลยไม่ถึงขนาดก่ออันตรายได้และมีการตรวจสอบก่อนการใช้งานแล้ว

อย่างไรก็ตามโอ๊ตซึ่งเป็นจำเลยก็ได้ต่อสู้ว่าขณะที่ฝั่งผู้ชุมนุมเริ่มปาลูกโป่งได้เพียง 5-6 วินาทีเขาก็เห็นมีชายชุดดำ(ส.ต.อ.สุริยันต์) ที่ยืนปะปนกับผู้ชุมนุมไม่ใส่เครื่องแบบถือของคล้ายลำโพงแล้วเปิดเสียงแหลมสูงใส่ผู้ชุมนุมในระยะประชิดและส่ายไปมาโดยไม่มีการประกาศแจ้งเตือนก่อนเปิดเสียงจนมีการผลักดันกันออกมาทางด้านหลัง เขาเห็นว่าจะทำให้เกิดอันตรายกับประสาทการได้ยินได้จึงพยายามบอกให้ชายคนดังกล่าวปิดแต่สู้เสียงไม่ได้และยิ่งเข้าใกล้ยิ่งปวดหูจึงคิดว่าต้องหยุดเสียงให้ได้ จึงนำกล่องโฟมที่มีน้ำสีอยู่ไปสาดใส่ลำโพงเพื่อให้เครื่องหยุดและด้วยความโกรธจึงได้ชกไปที่คางของชายคนดังกล่าว 1 ครั้ง แต่เครื่องก็ยังไม่หยุดจึงตะโกนบอกให้ปิด

หลังจากโอ๊ตก่อเหตุแล้วทางด้านแกนนำผู้ชุมนุมได้สั่งให้ผู้ชุมนุมหยุดปาและทางตำรวจก็ห้ามกันเอง ก่อนมีการเจรจากันอีกครั้งจนเจ้าหน้าที่เปิดประตูศาลากลาง ทำให้ผู้ชุมนุมได้เข้าไปยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วยืนเคารพธงชาติก่อนแยกย้ายกลับ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท