แจกใบปลิว-อยู่กลุ่ม Line ก็เป็น ‘อั้งยี่’ ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยคดีสหพันธรัฐไท

ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกจำเลยคดี "สหพันธรัฐไท" 3 ปี ข้อหาอั้งยี่ เพราะแจกจ่ายเสื้อและใบปลิวที่แม้ข้อความจะไม่ผิดข้อหายุยงปลุกปั่นแต่มีแนบลิงก์ยูทูปของกลุ่มอีกทั้งยังอยู่ในกลุ่มไลน์ที่มีการคุยวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ 

30 พ.ย.2565 ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก มีนัดอ่านคำพิพากษาชั้นฎีกาของคดีสหพันธรัฐไทของกลุ่ม 5 คน ได้แก่ กฤษณะ เทอดศักดิ์ ประพันธ์ วรรณภา และจินดา (สงวนนามสกุลทั้งหมด) ที่อัยการฟ้องข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ อั้งยี่ตามมาตรา 209 จากการแจกใบปลิวและจำหน่ายเสื้อดำติดสัญลักษณ์ขาวแดงของกลุ่มสหพันธรัฐไท เมื่อปี 2561

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้มีเพียงกฤษณะ และวรรณภาที่ยังเป็นจำเลยในคดีนี้ รวมถึงจินดาที่เป็นจำเลยที่สามในคดีแต่ที่ผ่านมาเธอไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาคดีอีกทั้งยังถูกจำคุกจนครบกำหนดโทษแล้วที่มาร่วมฟังคำพิพากาษา แต่ไม่มีเทอดศักดิ์ที่ไม่มาตามนัดศาลตั้งแต่นัดก่อนและศาลได้ออกหมายจับแล้วและจินดาที่ไม่มาในนัดวันนี้ศาลจึงออกหมายจับด้วยเช่นกัน

สำหรับคดีนี้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องข้อหายุยงปลุกปั่นไปแล้ว แต่พิพากษาลงโทษในข้อหาอั้งยี่และจำเลยได้อุทธรณ์คดีมาในส่วนนี้เนื่องจากเห็นว่าพวกตนไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มสหพันธรัฐไท

ในส่วนของคำพิพากษาศาลฎีกาสรุปได้ว่าแม้ว่าข้อความบนใบปลิวข้อความที่พวกเขาแจกจ่ายนั้นจะไม่ได้เป็นความผิดตามข้อหายุยงปลุกปั่น เนื่องจากข้อความบนใบปลิวเป็นเพียงแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ก็ตาม แต่บนใบปลิวยังมี URL ช่องยูทูปของกลุ่มสหพันธรัฐไทที่ปลุกระดมมวลชนให้เปลี่ยนแปลงการปกครองที่ถือว่าเป็นวิธีการที่มีความมุ่งหมายเพื่อทำผิดกฎหมายแล้ว

อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังใช้เฟซบุ๊กแสดงความเห็นโจมตีรัฐบาลและสถาบันกษัตริย์มีกลุ่มไลน์ติดตามเรื่องทางการเมืองที่การสนทนาของคนในกลุ่มมีการกล่าวโจมตีสถาบันกษัตริย์ นำใบปลิวไปแจกจ่าย จำเลยที่ 2 ร่วมแจกใบปลิวที่ต่างๆ และจำเลยที่ 4 ร่วมแจกจ่ายเสื้อและใบปลิวในสถานที่ต่างๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยเหล่านี้ร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มสหพันธรัฐไทที่เป็นกิจกรรมของกลุ่มที่คาดหมายให้ทำแล้ว

จากเหตุข้างต้นศาลเห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นฟังไม่ขึ้นและหลักฐานของโจทก์ชี้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดในข้อหาอั้งยี่ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์โดยให้ยกฟ้องข้อหายุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 แต่ให้ลงโทษข้อหาอั้งยี่ตามมาตรา 209 คือจำคุกคนละ 3 ปี ทำให้วันนี้กฤษณะและวรรณภาที่มาฟังคำพิพากษาตามนัดและยังไม่เคยถูกจำคุกในคดีนี้ถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำตามโทษ

ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือจำเลยในคดีนี้ให้ความเห็นถึงคำตัดสินของศาลวันนี้ว่า ทางฝ่ายจำเลยต่อสู้ในประเด็นการเป็นสมาชิกของกลุ่มสหพันธรัฐไทว่าพวกเขาไม่ได้เป็นสมาชิกแต่เป็นเพียงการไปเข้าร่วมกลุ่มไลน์และเมื่อได้ติดตามฟังความคิดเห็นของแกนนำกลุ่มแล้วเกิดความนิยมชมชอบก็เลยทำแผ่นป้ายและเสื้อด้วยตัวของพวกเขาเองเพื่อแสดงความคิดเห็นสนับสนุนแนวคิดเรื่องไทยจะต้องเป็นรัฐสวัสดิการและการแบ่งแยกอำนาจปกครองเป็นมลรัฐเท่านั้น โดยที่พวกเขาไม่ได้เคยเข้าร่วมประชุมวางแผนดำเนินการใดๆ กับกลุ่มเลยและไม่มีหลักฐานถึงเรื่องนี้ด้วย อีกทั้งสำหรับกฤษณะแล้วก็มีเพียงคำให้การในชั้นซักถามของทหารตอนที่เอาตัวเขาไปควบคุมไว้ในค่ายทหารเท่านั้น

นอกจากนั้นทนายความยังกล่าวถึงวรรณภาด้วยว่าเธอเพียงแต่ไปช่วยแม่ของเธอส่งเสื้อให้ตามที่มีออเดอร์เข้ามาที่แม่ของเธอเพื่อนำเงินมาจุนเจือครอบครัวที่มีฐานะยากจนเท่านั้นโดยไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวของสหพันธรัฐไทหรือมีความคิดทางการเมืองเหมือนจำเลยคนอื่นๆ แต่ศาลก็ไม่ได้พิจารณาในประเด็นนี้

ภาวินีเล่าประสบการณ์ในฐานะทนายความที่เคยทำคดีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าข้อหาอั้งยี่นี้มักถูกเอามาใช้ตั้งข้อหากับประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ที่ไม่ว่าการกล่าวหานี้จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตามแต่อย่างน้อยฝ่ายผู้กล่าวหายังต้องพยายามอ้างสาเหตุว่าจำเลยในคดีที่ถูกกล่าวหานั้นได้เข้าขั้นตอนการรับเข้ากลุ่มขบวนการหรือร่วมวางแผนงานด้วย แต่สำหรับคดีสหพันธรัฐไทนี้ศาลกลับมองว่าแค่การเข้าร่วมกลุ่มไลน์หรือการทำแผ่นป้ายมาแสดงความเห็นพร้อมกับใส่ลิงก์ยูทูปให้คนเข้าไปติดตามฟังก็ถือได้ว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มแล้ว

ทนายความกล่าวอีกว่าข้อหาอั้งยี่เป็นข้อหาโบราณที่ไม่ได้ถูกเอามาใช้นานแล้วแต่ที่ผ่านมาก็ถูกเอากลับมาใช้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วก็เอามาใช้อีกทีในช่วงนี้ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นการเอามาใช้ในทางการเมือง

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานไว้ก่อนหน้านี้ว่า กฤษณะ ปัจจุบันอายุ 36 ปี ที่ปัจจุบันตกงานอยู่เพราะถูกดำเนินคดีนี้นั้น ตอนที่เขาถูกจับกุมเมื่อ 30 ส.ค.2561 มีเจ้าหน้าที่ทั้งนอกเครื่องแบบและในเครื่องแบบราว 20 นายเข้าจับกุมพร้อมกับยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารไปก่อนนำตัวเขาไปควบคุมในค่ายทหารเพื่อเข้าสู่กระบวนการซักถามของทหารเป็นเวลา 7 วัน โดยระหว่างการซักถามมีทั้งการพูดจาข่มขู่และมีครั้งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ใช้มือตบที่ต้นคอเขาอย่างแรงระหว่างการซักถามด้วย

จากการถูกจับกุมและดำเนินครั้งนี้ส่งผลให้กฤษณะที่มักแสดงความเห็นทางการเมืองทางสื่อสังคมออนไลน์หมดความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเองไป

ศูนย์ทนายความฯ ยังรายงานชีวิตหลังถูกดำเนินคดีของวรรณภา ที่ปัจจุบันอายุ 35 ปี เอาไว้ว่าจากการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกชายวัยกำลังเล่าเรียนถึง 2 คน คือ 18 ปี และ 13 ปี ที่ต้องรับภาระเพียงคนเดียวหลายอย่างทั้งค่าเรียนของลูกคนเล็ก ค่าเช่าห้องและสาธารณูปโภคต่างๆ การถูกดำเนินคดียิ่งสร้างความลำบากให้เธอมากขึ้นอีกเพราะถูกไล่ออกจากงาน และกำไลติดตามตัวหรือ EM ที่ไม่เพียงแต่สร้างความรำคาญและบาดแผลบนขาแต่ยังทำให้ต้องอับอายจากเสียงนินทาของคนรอบข้างอีกด้วย

นอกจากนั้นเดิมที่ลูกคนโตของวรรณภาต้องยุติการเรียนมาก่อนหน้านั้นแล้วเพื่อออกมาหาเลี้ยงชีพโดยการเป็นไรเดอร์ส่งอาหาร ล่าสุดลูกคนเล็กก็ต้องออกจากการเรียนมาด้วยเนื่องจากเธอต้องฝากลูกสองคนไปให้ยายเลี้ยงในต่างจังหวัดเพราะเธอเห็นแนวโน้มว่าศาลฎีกาก็คงมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ด้วยเช่นกัน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท