แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องรัฐบาลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องประสานงานและร่วมมืออย่างเร่งด่วนในภารกิจค้นหาและช่วยชีวิต ชาวโรฮิงญาที่ติดค้างอยู่กลางทะเล โดยต้องพยายามค้นหาเรือที่ประสบภัย รวมถึงประกันว่าผู้ที่อยู่ในเรือจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย และได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่เหมาะสม รวมทั้งน้ำและอาหาร
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2565 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่น ประเทศไทยแจ้งข่าวว่าสืบเนื่องจากรายงานข่าวว่า มีเรือขนผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาอย่างน้อยหนึ่งลำติดค้างอยู่กลางทะเลนั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เรเชล ชัว โฮวาร์ด นักวิจัยประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า เจ็ดปีหลังเกิดวิกฤตทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้สูญเสียชีวิตจำนวนมาก ชาวโรฮิงญายังคงเสี่ยงภัยในการเดินทาง เพื่อหลบหนีการประหัตประหารจากเมียนมาภายใต้ระบอบทหาร แม้จะเป็นบ้านเกิดของตน และหลบหนีจากสภาพชีวิตที่เลวร้ายในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ
"กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศกำหนดให้ต้องช่วยชีวิตหรือให้การช่วยเหลือบุคคลที่ประสบภัยอยู่กลางทะเล และนำตัวไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อคุ้มครองชีวิตเหล่านี้ ความล่าช้าในการบรรเทาความทุกข์ยากของชาวโรฮิงญาหรือความพยายามใดๆ ที่จะส่งตัวกลับไปเผชิญกับการประหัตประหารในเมียนมา ถือเป็นการกระทำที่ขาดมโนธรรมสำนึก"
“รัฐบาลประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องประสานงานและร่วมมืออย่างเร่งด่วนในภารกิจค้นหาและช่วยชีวิต โดยต้องพยายามค้นหาเรือที่ประสบภัย รวมถึงประกันว่าผู้ที่อยู่ในเรือจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย และได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่เหมาะสม รวมทั้งน้ำและอาหาร”
ข้อมูลพื้นฐาน
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees หรือ UNHCR) รายงานว่าจำนวนผู้ที่เดินทางอย่างเสี่ยงภัยโดยเรือจากเมียนมาไปยังบังกลาเทศ ในปี 2565 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญา มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงหกเท่า โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตหรือสูญหายจำนวน 119 คน
ทางการในภูมิภาคนี้ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับปรุงการประสานงานในภารกิจค้นหาและช่วยชีวิตบุคคลในเรือที่กำลังประสบภัย หลังเกิดการสูญเสียชีวิตจากความล่าช้าในการดำเนินการ