Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ในหนังสือ “ข้ามพ้นศาสนา: จริยธรรมเพื่อคนทั้งโลก” (Beyond Religion: Ethics for a Whole World) ของทะไลลามะ (แปลโดยนัยนา นาควัชระ) ทะไลลามะมองว่ามนุษย์อยู่ได้โดยไม่ต้องมีศาสนา และเสนอว่า “จริยธรรมเป็นอิสระจากศาสนา” ดังที่เขาเขียนว่า

“ข้าพเจ้ารู้สึกว่า แม้มนุษย์จะอยู่ได้โดยไม่ตองมีศาสนา แต่มนุษย์ไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีคุณธรรมภายในใจ เพราะฉะนั้นที่ข้าพเจ้าเสนอว่าให้จริยธรรมเป็นอิสระจากศาสนา จึงเป็นหุผลที่ไม่ซับซ้อนอะไรเลย เพราะข้าพเจ้ามองว่าเรื่องจิตวิญญาณมีสองมิติ 

มิติแรก คือการมีสภาพพื้นฐานทางจิตวิญญาณที่ดี - คือมีสภาพจิตและสภาวะอารมณ์ที่เข้มแข็งมีสมดุล -โดยที่ไม่ต้องพึ่งศาสนา เพราะสภาพเช่นนี้เป็นธรรมชาติที่มนุษย์มีมาแต่กำเนิดในฐานะที่เป็นสัตว์ซึ่งมีพื้นนิสัยโน้มเอียงไปในทางกรุณา โอบอ้อมอารีและใส่ใจทุกข์สุขของผู้อื่น มิติที่สอง อาจเรียกได้ว่าเป็นมิติทางจิตวิญญาณที่มีศาสนาเป็นพื้นฐาน…

ความแตกต่างระหว่างมิติทั้งสองเปรียบเหมือนน้ำกับน้ำชา จริยธรรมและคุณธรรมภายในใจที่ไม่มีเนื้อหาทางศาสนาคือน้ำ น้ำเป็นสิ่งที่เราต้องกินดื่มทุกวัน และ จำเป็น ต่อสุขภาพและความอยู่รอดของเรา จริยธรรมและคุณธรรมในใจที่อยู่ในบริบทของศาสนาเปรียบเหมือนน้ำชา ชาที่เราดื่มมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นน้ำ แต่ก็มีอย่างอื่นผสมอยู่ด้วย ... 

แต่ไม่ว่าเราจะชงชาอย่างไรก็ตาม ส่วนผสมหลักจะต้องเป็นน้ำเสมอ เรามีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีชา แต่เราขาดน้ำไม่ได้ ในทำนองเดียวกันเราเกิดมาโดยที่ไม่มีศาสนามาแต่กำเนิด แต่เราไม่ได้เกิดมาโดยที่ไม่ต้องการ ความกรุณา”  

ตามมุมมองของทะไลลามะ “จริยธรรมและคุณธรรมภายในใจที่ไม่มีเนื้อหาทางศาสนา” เปรียบเหมือน “น้ำ” ขณะที่จริยธรรมทางศาสนาเป็นเพียง “น้ำชา” จากความคิดพื้นฐานเช่นนี้ทำให้ทะไลลามะมองว่า “จริยธรรมโลกวิสัย” (secular ethics) ใหญ่กว่าจริยธรรมศาสนา เพราะเป็นจริยธรรมสากลที่อยู่บนพื้นฐานจิตสำนึกเคารพและปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความยุติธรรมทางสังคม ทะไลลามะเสนอว่าเราควรตีความจริยธรรมพุทธศาสนาสนับสนุนจริยธรรมสากล ด้วยหลักการพื้นฐานสองประการ คือ

“หลักข้อแรก คือ เราจะต้องเข้าใจและยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ และปรารถนาความสุข และไม่อยากมีทุกข์เหมือนกับคนอื่นๆ หลักข้อที่สอง ก็คือ เราจะต้องเข้าใจว่าโดยความเป็นจริงแล้วลักษณะเด่นของมนุษย์ คือการพึ่งพาอาศัยกันและกัน...”

แต่ในหนังสือ “ทำไมคนไทยจึงเรียนพระพุทธศาสนา: ข้อพิจารณาเกี่ยวกับวิชาพระพุทธศาสนาและจริยศึกษาในหลักสูตรการศึกษาของชาติ” ป.อ. ปยุตฺโตมองจริยธรรมสากลอย่างระแวงว่า

“การนำจริยธรรมสากลมาให้นักเรียนที่เป็นพุทธศาสนิกชนเรียน มองในแง่หนึ่งก็เหมือนการบังคับ หรือใช้กลวิธีชักจูงให้นักเรียนที่เป็นพุทธศาสนิกชนเปลี่ยนศาสนาจากพุทธมานับถือศาสนาที่เรียกว่าจริยธรรมสากลแทน อาจจะกลายเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของชาวพุทธเหล่านั้นไปก็ได้ เมื่อจัดไปแทนที่จะได้ผลดี ก็จะกลายเป็นเสียทั้งคู่ ไม่ได้ผลเลยทั้งสองทาง”

จะเห็นว่าความคิดพื้นฐานทางจริยธรรมแบบทะไลลามะกับปยุตฺโตต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ทะไลลามะมองว่าจริยธรรมสากลกับจริยธรรมพุทธสามารถตีความให้สอดคล้องไปกันได้ หรือสนับสนุนกันและกันได้ และมองว่าจริยธรรมสากลใหญ่กว่าจริยธรรมพุทธ เพราะจริยธรรมสากลก้าวข้าม “อคติทางศาสนา” ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใดๆ หรือไม่มีศาสนา คุณก็ควรมีสามัญสำนึกทางจริยธรรมในการเคารพและปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเป็นธรรมทางสังคม จริยธรรมศาสนาในโลกสมัยใหม่นอกจากจะไม่ควรนำเสนออย่างขัดหลักการพื้นฐานดังกล่าว ยังควรถูกตีความสนับสนุนหลักการพื้นฐานดังกล่าวด้วย แต่ปยุตฺโตกลับระแวงว่า ถ้าสอนจริยธรรมสากลในโรงเรียนจะเป็นกลวิธีทำให้ชาวพุทธเปลี่ยนจากการนับถือ “ศาสนาพุทธ” ไปนับถือ “ศาสนาจริยธรรมสากล” แทน 

ดูเหมือนว่าปยุตฺโตไม่อาจข้ามพ้น “อคติทางศาสนา” ไปได้ เพราะยังมองคุณค่าทางจริยธรรมเป็น “ประเด็นศาสนา” ไปเสียหมด เช่น มองว่าจริยธรรมสากลก็คือ “ศาสนาจริยธรรมสากล” ถ้าให้คนไทยเรียน คนไทยอาจเปลี่ยนจากนับถือพุทธศาสนาไปนับถือศาสนาจาริยธรรมสากล 

แต่ทะไลลามะมองต่างว่า ธรรมชาติทางจริยธรรมของมนุษย์เปรียบเหมือน “น้ำ” แต่ศาสนาเป็นแค่ “น้ำชา” แปลว่ามนุษย์เราอาจพัฒนาธรรมชาติพื้นฐานทางจริยธรรมขึ้นจากแนวคิดปรัชญาต่างๆ และความคิด ความเชื่อหลากหลายที่ไม่ใช่ศาสนาก็ได้ ดังนั้น มนุษย์จึงอยู่ได้ หรือดีงามได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้ แต่ถ้ามีศาสนาก็ต้องไม่ใช่ศาสนาที่เป็นเครื่องมือของนักบวชและชนชั้นปกครองในการครอบงำและกดขี่ หรือละเมิดสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความยุติธรรมทางสังคม

เพราะไม่อาจข้ามพ้นอคติทางศาสนา (ฉันทาคติแบบเชื่อว่าจริยธรรมพุทธเหนือว่าจริยธรรมทั้งปวง) ปยุตฺโตจึงสรุปแบบ “โอเว่อร์เคลม” ไว้ในหนังสือ “สิทธิมนุษยชนสร้างสันติสุขหรือสลายสังคม” ว่า “ถ้าหมู่มนุษย์ประพฤติอยู่ในศีล 5 ก็ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชน” ราวกับว่าหลักศีล 5 (หรือแม้แต่หลักพุทธธรรมทั้งหมด) มีเนื้อหาครอบคลุมสิทธิปัจเจกบุคคล สิทธิทางการเมือง สิทธิพลเมือง สิทธิทางวัฒนธรรม และหลักความเสมอภาคด้านต่างๆ ในหลักสิทธิมนุษยชนสากล 

นอกจากนี้ ในหนังสือสองเล่มดังกล่าว ปยุตฺโตยังเสนอให้คงการบังคับเรียนวิชาพระพุทธศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของชาติต่อไป และเสนอให้ตีความศีล 5 มาบัญญัติเป็นกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ขัดหลักจริยธรรมโลกวิสัยและหลักการประชาธิปไตยโลกวิสัย (secular democracy) ต่างอย่างสิ้นเชิงกับทะไลลามะที่ยืนยันให้ชาวศาสนาต่างๆ เคารพหลักจริยธรรมโลกวิสัย หรือหลักจริยธรรมสากล และปรับตัวตามหลักการประชาธิปไตยโลกวิสัย และการแยกศาสนาจากรัฐ

คำถามคือ หากพุทธศาสนาคือรากฐานของวัฒนธรรมไทย และเป็นรากฐานทางจริยธรรมของสังคมไทยมาช้านาน หรือ “หลักจริยธรรมพุทธเป็นหลักจริยธรรมของชาติ” และพุทธมี “หลักธรรมาธิปไตย” ที่ทำให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีกว่า ดังที่ปยุตฺโตยืนยันไว้จริง แต่เหตุใดระบบปกครองสงฆ์ที่เรียกว่า “มหาเถรสมาคม” (หรือที่จริงคือ “ศาสนจักรพุทธราชาชาตินิยม”) จึงไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเลย เพราะพระมีสมณศักดิ์ฐานันดร มีวัฒนธรรมชนชั้นและอำนาจนิยม ไม่มีความเสมอภาค พระเณรไม่มีสิทธิ์มีเสียง หรือมีส่วนร่วมใดๆ ในการปกครองคณะสงฆ์เลย แม้แต่ “เสรีภาพในการตีความพุทธธรรมสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน” พระเณรก็ไม่มี ตกลงระบบปกครองสงฆ์มีธรรมาธิปไตยหรือไม่มีกันแน่ 

จะว่าไปแล้ว ในระบบศาสนจักรพุทธราชาชาตินิยมคงมีศีล 5 สมบูรณ์กระมัง เพราะพระมีศีลมากกว่าฆราวาส ด้วยเหตุนี้สิทธิมนุษยชนจึงไม่จำเป็นสำหรับระบบสงฆ์ จึงทำให้ระบบสงฆ์มีอภิสิทธิ์หลายประการที่ขัดหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และหลักประชาธิปไตยโลกวิสัย

แต่น่าเศร้าที่นักบวชในระบบที่มีอภิสิทธิ์เช่นนี้ กลับมีอำนาจชี้นำรัฐให้บังคับเรียนศาสนาและปฏิเสธการเรียนจริยธรรมสากลโลกวิสัย อันเป็นจริยธรรมที่จำเป็นต่อการสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยโลกวิสัย 

ผลก็คือ การที่สังคมไทยถูกบังคับยัดเยียดปลูกฝังจริยธรรมพุทธศาสนามายาวนาน ทำให้คนไทยเข้าใจจริยธรรมมิติเดียว คือจริยธรรมในมิติศาสนา โดยเฉพาะจริยธรรมพุทธศาสนาที่อ้างว่าเป็นหลักจริยธรรมของชาติ และทำให้เกิดวัฒนธรรมอ้างจริยธรรมและความเป็นคนดีแบบพุทธมาเป็นผู้ปกครอง ผ่านการทำรัฐประหารเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์มาตลอด

โดยที่ปราชญ์และผู้รู้พุทธไม่เคยท้วงติงเลยว่า การรัฐประหารละเมิดหลักจริยธรรมพุทธอย่างไร นอกจากไม่เคยท้วงติง ยังมีพระและชาวพุทธจำนวนไม่น้อยอ้างธรรมะ ศีลธรรม ความเป็นคนดีตามความเชื่อแบบพุทธสนับสนุนรัฐประหารมาตลอด

ถ้าสังคมเราต้องการประชาธิปไตยโลกวิสัย การแยกศาสนาจากรัฐ และวัฒนธรรมเคารพหลักสิทธิมนุษยชนสากล เราก็ต้องข้ามพ้นจริยธรรมพุทธตามการตีความแบบปยุตฺโต ไปสู่การตีความพุทธธรรมสนับสนุนจริยธรรมสากลโลกวิสัยแบบทะไลลามะให้ได้เป็นอย่างน้อย
 

 

ที่มาภาพ https://www.wikiwand.com/th/%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_14 และ https://www.facebook.com/WatNyanaves.official/photos/ms.c.eJwzNDMxNjA0szSwNDayMDQ21zOEChgZmZkZmphZQgXMDczAKowMAQFKChQ~-.bps.a.1612420705721091/1643016922661469/?type=3&theater

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net