Skip to main content
sharethis

โฆษกทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยเตือน 5 ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องรับมือในปีนี้ ชี้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาจากที่ตกลงไปตั้งแต่เมื่อปี 2563

3 ม.ค.2566 ฝ่ายสื่อสารพรรคเพื่อไทยรายงานว่า จุฑาพร เกตุราทร โฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย และ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางรัก สาทร ปทุมวัน กล่าวว่าการส่งออกของไทยในเดือนพฤศจิกายนหดตัวติดลบที่ - 6% ซึ่งเป็นการติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง หลังจากการส่งออกเดือนตุลาคมหดตัวและติดลบไป -4.4%

โฆษกทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยกล่าวว่าก่อนหน้านี้ได้เตือนไว้ก่อนแล้วว่าเป็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ไม่ดี และแนวโน้มจะทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้น่าจะไม่สดใส ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ขยายตัวได้มากเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังเป็นผู้บริหารประเทศชุดเดิม เศรษฐกิจก็จะยิ่งทรุดลงได้

“ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลยอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นจากที่ตกลงมาในปี 2563 ที่ -6.2% เลย เพราะปี 2564 ขยายได้ 1.5% และปีที่แล้ว 2565 น่าจะขยายได้เพียง 3 % กว่าเท่านั้น รวมกันแล้วยังไม่เท่าที่ตกลงมา ดังนั้นการที่จะอ้างว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วจนธนาคารโลกชม น่าจะไม่เป็นความจริงและเข้าใจผิด เพราะเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในแดนลบมา 3 ปีติดต่อกันแล้ว ประชาชนถึงได้ลำบากกันอย่างมาก” จุฑาพรระบุ

จุฑาพระกล่าวอีกว่ายังมีอีก 5ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ลงอีกได้ดังนี้

1. ปัญหาหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงจากการก่อหนี้ของรัฐบาลแล้วใช้แบบสะเปะสะปะ และหนี้ครัวเรือนที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากรายได้ที่ลดลงของประชาชน อีกทั้งหนี้ธุรกิจที่สืบเนื่องมาจากวิกฤตไวรัสโควิด ส่งผลกระทบให้มีหนี้เสียในระบบธนาคาร และหนี้นอกระบบมากขึ้น ซึ่งจะเป็นเหมือนระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ หากรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับเรื่องหนี้เหล่านี้ได้

2. ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ถาวะถดถอย จากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐเพื่อหยุดเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั้งโลก ทั้งเศรษฐกิจของ สหรัฐ ยุโรป จีน และ ญี่ปุ่น ก็จะไม่ดี ซึ่งจะทำให้การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนของไทยลดลงได้

3. ปัญหาอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก จากการที่สหรัฐขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อหยุดเงินเฟ้อตามที่กล่าวแล้ว โดยคาดกันว่าภายในปีนี้ดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะพุ่งทะลุ 5% ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ไทยอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม และจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนอย่างมาก สำหรับหนี้ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจทำให้ค่าบาทแข็งค่าขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกให้ลดลงได้

4. ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาสินค้าแพง ยังเป็นปัจจัยที่น่ากังวล และต้องจับตาให้ดี เพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และค่าครองชีพของประชาชน

5. ปัญหาราคาพลังงาน ทั้งราคาน้ำมัน ไฟฟ้า และก๊าซ ที่ยังผันผวนสูง โดยคาดกันว่าราคาน้ำมันอาจจะกลับมาขึ้นสูงอีกครั้งได้ จากการที่ประเทศจีนเริ่มเปิดประเทศ ราคาไฟฟ้าที่ยังจะขึ้นอีก รวมถึงปัญหา หากศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินว่าการผลิตไฟฟ้าที่รัฐบาลให้ใบอนุญาตกับเอกชนจนล้นเกิน จนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ต่ำกว่า 51% จะผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากผิดกฎหมายคงต้องมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

จุฑาพรกล่าวว่า หากรัฐบาลไม่เตรียมรับมือหรือยังไม่ทราบความเสี่ยงเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ได้ แม้ว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในปีนี้จะดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีน แต่ยังมีหลายปัจจัยที่น่าห่วง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net