ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้มาเรีย เรสซา นักข่าวชื่อดังและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพชาวฟิลิปินส์ พ้นผิดจากข้อหาเลี่ยงภาษีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง เนื่องจากได้วิพากษ์วิจารณ์อดีตประธานาธิบดีดูเตอร์เตอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับกรณีที่มีการสังหารนอกกระบวนการกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และการทุจริตของอดีตประธานาธิบดี และเรสซายังได้เผยแพร่ผลการสอบสวนรัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์อีกด้วย
19 ม.ค. 2566 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้มาเรีย เรสซา นักข่าวชื่อดังและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพชาวฟิลิปินส์ และเว็บไซต์แรพเลอร์ (Rappler) ของเธอ พ้นผิดจากข้อหาเลี่ยงภาษี ซึ่ง RHC (บริษัทโฮลดิ้งของแรพเลอร์) และเรสซาที่เป็นประธานบริษัทถูกตั้งข้อหาละเมิดมาตรา 255 สามกระทง และละเมิดมาตรา 254 หนึ่งกระทงตามกฎหมายภาษีแห่งประมวลรัษฎากรแห่งชาติ
ตั้งแต่ปี 2561 เรสซาและเว็บไซต์แรพเลอร์ของเธอถูกฟ้องคดีและอยู่ระหว่างการสอบสวนในหลายข้อหาร่วมกัน รวมถึงข้อหาละเมิดกฎหมายภาษีและละเมิดข้อห้ามเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลต่างชาติมีอำนาจควบคุมเหนือสื่อมวลชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเชื่อว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีแรงจูงใจทางการเมือง
เรสซาและแรพเลอร์ได้วิพากษ์วิจารณ์อดีตประธานาธิบดีดูเตอร์เตและรัฐบาลของเขาอย่างต่อเนื่อง มีการเผยแพร่ผลการสอบสวนอย่างละเอียดเกี่ยวกับกรณีที่มีการสังหารนอกกระบวนการกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและการโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการทุจริต ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 แรพเลอร์ยังคงนำเสนอข่าวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อไปและยังได้เผยแพร่ผลการสอบสวนเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์อีกด้วย
มาเรีย เรสซา
บุชต์ โอลาโน ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ฟิลิปปินส์ เผยว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยินดีกับการตัดสินยกเลิกข้อหาเลี่ยงภาษีของมาเรีย เรสซา ซึ่งแอมเนสตี้เรียกร้องให้ทางการยกเลิกข้อกลั่นแกล้งทางไซเบอร์และข้อหาอื่นๆ ของเรสซาทันทีเพื่อให้เธอสามารถทำงานต่อไปได้
บทบัญญัติเกี่ยวกับการฟ้องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาทางไซเบอร์ (Cyber Libel) ของกฎหมายป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ (Cybercrime Prevention Act) ยังคงถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดและเป็นการปฏิบัติมิชอบโดยทางการเพื่อข่มขู่นักข่าวและคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่พูดความจริงกับผู้มีอำนาจ การปฏิบัติเช่นนี้เป็นการคุกคามสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและเสรีภาพของสื่อมวลชน และยังทำให้เกิดการลอยนวลพ้นผิดของรัฐบาลมากขึ้น
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลขอย้ำถึงการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประกันว่าจะมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการสอบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่นักข่าวเขียนถึง โดยมีเป้าหมายในการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อเปิดเผยความจริง แทนที่จะนิ่งเฉยท่ามกลางการคุกคามและโจมตีนักข่าว มาร์กอส จูเนียร์ควรเป็นผู้นำในความพยายามยกเลิกและแก้ไขกฎหมายที่เลือกปฏิบัติทั้งหมดซึ่งจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อและเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงกฎหมายป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ปี 2555 และดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อยุติการโจมตีนักข่าวอิสระและสื่อมวลชนโดยทั่วไป” บุชต์ โอลาโน ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ฟิลิปปินส์ กล่าว