Skip to main content
sharethis

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคม-องค์กรชุมชนภาคใต้ ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลและหน่วยนงานที่เกี่ยวข้องแก้ "ปัญหาที่ดิน" ชาวเลอูรักลาโว้ย เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล วางแนวทางถือครองสิทธิในที่ดินในรูปแบบของโฉนดชุมชน เพื่อลดปัญหาการถูกรุกรานจากนายทุนที่กว้านซื้อที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ

 

20 ม.ค. 2566 เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาสิทธิในที่ดินของชาวเลอูรักลาโว้ย เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล หลังเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 มีการเชื่อมเหล็กปิดกั้นเส้นทางสัญจรสาธารณะของชุมชนที่ใช้ร่วมกันมามากกว่า 100 ปี จนทำให้นักเรียนไม่สามารถเดินเข้าโรงเรียนได้ ประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้เส้นทางได้ ทำให้ปัญหาเรื่องที่ดินของชาวเลอูรักลาโว้ยถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรรมในการมีสิทธิในที่ดินของชุมชน

ทางเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยนงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดังนี้

1. ให้รัฐบาลกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสิทธิที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในภาคใต้ตามแนวทางการถือครองสิทธิในที่ดินในรูปแบบของโฉนดชุมชน เพื่อลดปัญหาการถูกรุกรานจากนายทุนในการกว้านซื้อที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ

2. ให้นายกรัฐมนตรีมีหนังสือสั่งการถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะและพื้นที่สาธารณะภายในเกาะโดยเร่งด่วน

3. ให้กระทรวงยุติธรรมปฏิรูประบบกระบวนการรับฟังพยานหลักฐานและการพิจารณาคดีในศาล เปิดกว้างและมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับคดีที่มีผลกระทบต่อกลุ่มเปาะบาง เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐ

4. ในระหว่างดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรมกรมคุ้มครองสิทธิฯ กองทุนยุติธรรม หน่วยสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ปกป้องคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรมแก่ชาวเลหลีเป๊ะอย่างเร่งด่วน

ชาวเกาะหลีเป๊ะ หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2566 ภาพโดย ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม

 

แถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้
ขอให้รัฐเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลอูรักลาโว้ย เกาะหลีเป๊ะ ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 เวลา 15.00 น.ปัญหาเรื่องที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลอูรักลาโว้ย เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นข้อถกเถียงในสังคมอีกครั้งหลังจากมีการเชื่อมเหล็กปิดกั้นเส้นทางสัญจร อันเป็นทางสาธารณะของชุมชนที่ใช้ร่วมกันมามากกว่า 100 ปี จนทำให้นักเรียนไม่สามารถเดินเข้าโรงเรียนได้ อีกทั้งยังทำให้ชาวเลและประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้เส้นทางสัญจรไปที่ต่างๆ ได้ทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ สุสานชาวเล เส้นทางแห่พิธีกรรมในประเพณีลอยเรือ เส้นทางออกสู่ทะเลเพื่อประกอบอาชีพและทางเดินของนักท่องเที่ยว โดยปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนและนักท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะ และทำให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย

 ปัญหาเรื่องที่ดินของชาวเลอูรักลาโว้ยดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรรมในการมีสิทธิในที่ดินของชาวเลอูรักลาโว้ย เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ว่าเพราะเหตุใดพวกเขาเหล่านี้ยังคงถูกละเมิดสิทธิและต้องออกมาเรียกร้องสิทธิในที่ดิน ทั้งที่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในภาคใต้โดยส่วนใหญ่เป็นผู้อยู่อาศัยมาก่อนการเกิดขึ้นของกฎหมายในประเทศไทย ตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมามากกว่า 30 ปี กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในภาคใต้หลายจังหวัดทั้ง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงาและสตูล ได้มีความพยายามเรียกร้องและติดตาม กระตุ้นให้รัฐดำเนินการแก้ไขปัญญาสิทธิในที่ดินมาโดยตลอด แต่ปัญหาดังกล่าวกลับยังไม่ถูกคลี่คลาย ในขณะที่ชาวเลยังคงต้องทนอยู่กับสภาวะไร้ซึ่งสิทธิในที่ดิน ที่ตนเป็นผู้บุกเบิกและอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน โดยที่
ไม่รู้ว่าจะถูกฟ้องดำเนินคดีเมื่อใด ดังเช่นกรณีของชาวเลอูรักลาโว้ย เกาะหลีเป๊ะ  

ในอดีตชาวเลอูรักลาโว้ย เกาะหลีเป๊ะ เคยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและแก้ไขการออกเอกสารสิทธิ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2533 ตามหนังสือ มท 0100/6411 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2533 พบว่าเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ราษฎรบนเกาะหลีเป๊ะมีการแจ้งการครอบครองที่ดิน  (ส.ค. 1) และออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน (น.ส. 3) จำนวน 17 แปลง แต่เนื่องจากกรมที่ดินตรวจสอบพบความผิดปกติในกระบวนการออก น.ส. 3 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 12 แปลง และควรมีการเพิกถอน อีกทั้งการทำแผนที่แนวเขตที่ดินของกรรมการชุดต่างๆ พบว่าที่ดินบางแปลงซ้อนทับกัน และที่ดินเกือบทุกแปลงออกทับ เส้นทางสาธารณะ ทางน้ำสาธารณะทั่วทั้งเกาะหลีเป๊ะ

ทั้งนี้จากรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อปี 2547 เรื่องสิทธิในที่อยู่อาศัยและที่ทำกินกรณีเกาะหลีเป๊ะ ได้มีการเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาต่อกระทรวงมหาดไทย ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) บนเกาะหลีเป๊ะที่ออกโดยมิชอบ โดยให้ดำเนินการภายใน 6 เดือน นับแต่ได้รับรายงานฉบับดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันปัญหาเรื่องที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ซ้ำร้ายชาวเลหลายคนยังถูกฟ้องร้องดำเนินคดีขับไล่ออกจากที่ดินและพื้นที่สาธารณะบนเกาะหลีเป๊ะ ยังถูกปิดกั้นไม่ให้ใช้ประโยชน์ รวมถึงมีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับพื้นที่ดังกล่าว จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนทั่วทั้งเกาะหลีเป๊ะ จากปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความล่าช้าในกระบวนการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินของรัฐต่อกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลภาคใต้ที่ทำให้ชาวเลต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิของตนจากรุ่นสู่รุ่น

ทางเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ซึ่งเกิดจากการร่วมกันของนักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษา ภาคประชาสังคมและองค์กรชุมชนในภาคใต้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยนงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดังนี้

1) ให้รัฐบาลกำหนดนโยบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสิทธิที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในภาคใต้ตามแนวทางการถือครองสิทธิในที่ดินในรูปแบบของโฉนดชุมชน ให้ชุมชนชาวเลเป็นเจ้าของร่วมกันเพื่อลดปัญหาการถูกรุกรานจากนายทุนในการกว้านซื้อที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญและฟื้นฟูวิถีชีวิตของชาวเล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่อง “แนวนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล”

2) ให้นายกรัฐมนตรีมีหนังสือสั่งการถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะและพื้นที่สาธารณะภายในเกาะ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนโดยกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

มาตรการระยะสั้น กรณีพื้นที่สาธารณะ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน  เร่งดำเนินการสอบสวน ตรวจสอบการบุกรุกให้เสร็จสิ้นภายใน 90 วัน หากมีการบุกรุกที่ทางสาธารณะให้ดำเนินการเร่งแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ และหากไม่ปฏิบัติตามให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกับเจ้าหน้าที่ ที่ไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ตลอดจนหาแนวทางในการยุติความขัดแย้งและเปิดทางสาธารณะให้ชาวเล ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยว ได้สัญจรภายในเกาะหลีเป๊ะจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ

กรณีปัญหาสิทธิในที่ดินที่อยู่อาศัยของชาวเล ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงยุติธรรม องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ดำเนินการตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจ เพื่อตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะโดยมีองค์ประกอบที่มาจากกรรมการที่เคยดำเนินการในอดีต เพื่อความต่อเนื่องของการดำเนินการและแต่งตั้งคณะกรรมการที่จำเป็นแก่การพิสูจน์พยานหลักฐานทั้งในมิติทางกฎหมาย สังคมและวัฒนธรรม และด้านนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ในการพิสูจน์สิทธิของชาวเล ตลอดจนให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไข เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่มิชอบด้วยกฎหมาย โดยกำหนดระยะเวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วัน

มาตรการระยะยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมและฟื้นฟูวิถีชีวิตของชาวเล พร้อมกับเปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่ เพื่อให้ชาวเลสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอดจนกำหนดนโยบายการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวเล เพื่อให้ชุมชนและนักท่องเที่ยวสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

3) ให้กระทรวงยุติธรรมปฏิรูประบบกระบวนการรับฟังพยานหลักฐานและการพิจารณาคดีในศาล เปิดกว้างและมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับคดีที่มีผลกระทบต่อกลุ่มเปาะบาง เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐ เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถต่อสู้คดีอย่างเต็มที่และกำหนดแนวทางให้การพิจารณาคดีให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นหลัก เช่น การกำหนดให้ต้องเดินเผชิญสืบในพื้นที่ที่พิพาท เพื่อลดค่าใช้จ่ายหลักและค่าใช้จ่ายแฝงในการต่อสู้คดีของประชาชนที่ต้องแบกรับในกระบวนการยุติธรรม อันเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย

4) ในระหว่างการดำเนินการ ให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรมกรมคุ้มครองสิทธิฯ กองทุนยุติธรรม หน่วยสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ปกป้องคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรมแก่ชาวเลหลีเป๊ะอย่างเร่งด่วน

 

 

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้

วันที่ 19 มกราคม 2566

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net