หลังที่ประชุม ส.ว. มีมติไม่เห็นด้วยต่อญัตติที่ขอให้ส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทำประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยคะแนน 157 ต่อ 12 เสียง นั้น ประชาไทชวนรับชมบันทึกถ่ายทอดสดการสนทนากับ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ รองศาสตราจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ศึกษาความเห็นทางการเมืองของคนกรุงเทพฯ และนักศึกษา Gen Z ที่เผยแพร่ผลการสำรวจช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งเรื่องบทบาท ส.ว.แต่งตั้ง รัฐธรรมนูญ ฉบับ 60 เพื่อวิเคราะห์มุมมองของคนเหล่านี้ต่อบทบาทของ ส.ว. รัฐธรรมนูญ จนถึงการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ รวมทั้งวิพากษ์พรรคสืบทอดจากรัฐประหาร 57 อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐด้วย

พลังของประชาชนได้เดินไปข้างหน้าแล้ว

"สิ่งที่ คสช.คิดว่าตนเองจะทำให้สังคมไทยสมัครสมานสามัคคีนั้นโม้ เพราะสังคมไทยเคลื่อนไปอีกจุดหนึ่งแล้ว สิ่งที่คุณทำในการรัฐประหารคือความพยายามที่จะเหนี่ยวรั้งความเปลี่ยนแปลงของสังคมไปข้างหน้า พลังของประชาชนนั้นได้เดินไปข้างหน้าแล้ว" ธำรงศักดิ์ กล่าว พร้อมย้ำจากผลสำรวจคนกรุงเทพฯ 61.83% ไม่เห็นด้วยกับการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ของ กปปส. เมื่อ 9 ปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่าพลังของประชาชนได้เดินไปข้างหน้าแล้ว 

พรรคการเมืองเข้มแข็ง อำนาจประชาชนเข้มแข็ง

ธำรงศักดิ์ กล่าวถึงวัฒธรรมแบบเผด็จการทหารในสังคมไทยว่า มันพังไปแล้ว และสังคมมันคลี่คลาย และจากผลสำรวจแสดงให้เห้นว่ากลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นเป็นกลุ่มใหญ่ รวมทั้งต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญด้วยเนื่องจากเห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องการยกเลิก ส.ว.แต่งตั้ง ต้องการผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งประเทศ เป็นต้น

"เมื่อก่อนเวลาเราสู้เหมือนเราสู้ที่โดดเดี่ยว เป็นการเคลื่อนไหวของคนไม่กี่คนเท่านั้น ตอนนี้การเคลื่อนไหวก็อาจยังเห็นคนไม่กี่คนที่เคลื่อนไหว แต่ที่จริงแล้วเรากำลังมีพลังในแบบของการต่อสู้ที่เป็นผนึกที่สำคัญคือเรามีพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย อนาคตใหม่ ก้าวไกล มันทำให้ผู้ต่อสู้ไม่รู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยวอีกต่อไป" ธำรงศักดิ์ กล่าว

ธำรงศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า เรายังมีเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารแบบใหม่ที่กระจายตัว จึงเท่ากับว่าสังคมไทยมันไม่สามารถที่จะควบรวมให้อยู่ในแบบเดียวอีกแล้ว ที่สำคัญพรรคการเมืองที่สู้อยู่ขณะนี้เรารู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ว้าเหว่

"พรรคการเมืองเข้มแข็ง อำนาจประชาชนเข้มแข็ง" ธำรงศักดิ์ กล่าว พร้อมชี้ให้เห็นว่าหากย้อนกลับไปที่ผ่านมา 90 ปี เมื่อมีการรัฐประหารต้องยุบพรรคการเมืองทิ้งเพราะเมื่อพรรคการเมืองเข้มแข็ง รัฐทหารย่อมอ่อนแอ พลังอื่นๆ ย่อมอ่อนแอ แต่ที่ผ่านมาแม้จะยุบก็ยังเกิดใหม่ตลอด เพราะมันไม่ใช่ตัวบุคคลที่เป็นปัจเจค หากแต่เป็นพลังร่วมในสังคมอย่างน้อยประมาณ 60% ของประเทศ โดยที่หากย้อนกลับไปดูประชามติร่างรัฐธรรมนูญก็มีคนที่อย่างน้อยคงที่ที่ไม่เอาทั้งรัฐธรรมนูญ 50 และ 60 อย่างน้อยประมาณ 10 ล้านคนที่ไม่เอาทั้งคู่และคงที่ที่ไม่เปลี่ยนใจไปตามทหาร ดังนั้นรัฐทหารเอาไม่อยู่แล้ว เพราะกำลังเจอพลังก้อนใหญ่ที่คุณไม่รู้จะเปลี่ยนมันอย่างไร พูดง่ายๆ คุณควรจะกลัวเขาด้วย