Skip to main content
sharethis

ทิพานัน รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กางสิทธิ 'บัตรทองพรีเมียม' โชว์ผลงงานนายกฯ เตรียมอัปเกรดหลักประกันสุขภาพคนไทย ระบุ “เป็นโรคร้ายไม่ต้องจ่ายสักบาท” ตามนโยบายจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 

24 ก.พ. 2566 ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กางสิทธิ “บัตรทองพรีเมียม” ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมอัปเกรดสิทธิบัตรทองดูแลสุภาพคนไทย โชว์สิทธิ “เป็นโรคร้ายไม่ต้องจ่ายสักบาท” หวังให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิรักษาเท่าเทียมด้วยมาตรฐานสูง เล็งแก้กฎหมายขยายสิทธิประโยชน์ สปสช. บริการทุกคนนอกเหนือสิทธิบัตรทอง

ทิพานัน ระบุ ในระยะเวลาตั้งแต่ปี 2557 -2566 พล.อ.ประยุทธ์ ได้พัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อคนไทยให้มีประสิทธิผลเพื่อบรรลุเป้าหมายของความเท่าเทียมกัน มีประสิทธิภาพและมาตรฐานสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามนโยบายจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยได้ดำเนินการพัฒนาหลักประกันสุขภาพแล้ว ดังนี้

1. เพิ่มสิทธิประโยชน์

-การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีเจาะลึกระดับดีเอ็นเอ HPV DNA

-การตรวจยีน BRCA1 BRCA2 ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม

-บริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนสัมผัส (PrEP) สำหรับกลุ่มเสี่ยง

-การตรวจดาวน์ซินโดรมในหญิงตั้งครรภ์ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (อายุ 50 ปีขึ้นไป)

 -การตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกด้วยเครื่อง Tandem mass spectrometry ในเด็กแรกเกิด

-การคัดกรองรอยโรคเสี่ยงและมะเร็งช่องปาก (CA Oral Screening) ในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป

-ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงและผู้ที่มีปัญหาการขับถ่าย เป็นต้น

-โรคหายาก (Rare Disease) เบื้องต้นครอบคลุม 24 โรคหายาก

-สิทธิประโยชน์รากฟันเทียม ภายใต้ “โครงการฟันเทียม รากฟันเทียม เฉลิมพระเกียรติในหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา”

 -กองทุนดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง

-บริการจิตเวชเรื้อรังในชุมชน

-บริการฝังเข็มหรือบริการฝังเข็มร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า

- ดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ให้ “ผู้มีสิทธิบัตรทองเลือกฟอกไตในแบบที่ใช่” เพื่อเปิดทางเลือกให้ผู้ป่วยที่ไม่ประสงค์จะล้างไตทางหน้าท้อง (Peritoneal Dialysis: PD) แต่ต้องการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีการฟอกเลือด (hemodialysis: HD) โดยที่ประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินเองอีกต่อไป

2. สิทธิประโยชน์ดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์

-บริการยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Pre-Exposure Prophylaxis : PrEP)

-บริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสเชื้อ (Post-Exposure Prophylaxis : PEP)

-บริการคัดกรองและตรวจยืนยันไวรัสตับอักเสบซีในผู้ติดเชื้อฯ และนำเข้าสู่กระบวนการรักษา

-บริการเอกซเรย์ปอดคัดกรองวัณโรคในผู้ติดเชื้อฯ รายใหม่ทุกราย, บริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการตรวจเลือดและดูแลรักษา (Reach Recruit Test Treatment Prevention Retain: RRTTPR)

-สนับสนุนถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันและลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี เพื่อสนับสนุนการดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560-2573

3. ดูแลกลุ่มเปราะบางเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

- ผู้มีปัญหาทางสถานะทางทะเบียน เช่น ไม่ได้แจ้งเกิด เอกสารบุคคลสูญหาย คาดการณ์ประมาณ 5.2 แสนคนที่จำเป็นต้องดำเนินการช่วยเหลือ

-กลุ่มชาติพันธุ์มานิ รักษ์ป่าบอน จ.สงขลา และ จ.พัทลุง ชนชาติพื้นเมืองดั้งเดิมของไทย มีจำนวนราว 500 คน ช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

-พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ

-ยกระดับการเข้าถึงสิทธิบัตรทองให้กับ “ผู้ต้องขัง” โดยความร่วมมือกรมราชทัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. ทำให้มีการขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลในเรือนจำให้เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่ายของหน่วยบริการประจำหรือโรงพยาบาลในพื้นที่ครบทั้งหมด 135 แห่งแล้ว โดยปัจจุบันมีผู้ต้องขัง 252,000 คน ลงทะเบียนบัตรทองให้กับผู้ต้องขังที่มีสิทธิกว่าร้อยละ 97

4. เพิ่มนวัตกรรมบริการ “ลดความแออัดที่โรงพยาบาล”

-บริการยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่บ้าน” (Home Chemotherapy for CA Colon)

-บริการรับยาร้านยาใกล้บ้าน ดูแลผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิต หอบหืด และจิตเวช ก่อนขยายไปยังโรคเรื้อรังอื่นๆ

-การให้บริการผู้ป่วยโควิด-19 การแจกชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเอง (ATK Self test kit) บริการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มอาการสีเขียว “เจอ แจก จบ

-บริการดูแลผู้ป่วยโรคทั่วไปหรือการเจ็บป่วยเล็กน้อย (common illnesses) ครอบคลุม 16 กลุ่มอาการ และเพิ่มความสะดวกในการรับบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคให้กับคนไทยที่ร้านยาคุณภาพ

-บริการสาธารณสุขทางไกล (Telemedicine)” ในผู้ป่วยรายเก่าของหน่วยบริการที่มีอาการคงที่และควบคุมโรคได้ดี

-บริการการแพทย์ทางไกลในลักษณะผู้ป่วยนอกทั่วไป (OP Telemedicine)” ครอบคลุม 42 กลุ่มโรคและอาการ ร่วมมือกับผู้ให้บริการแอปพลิเคชันด้านสุขภาพดิจิทัล

-บริการส่งยาทางไปรษณีย์ ร่วมกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และหน่วยบริการ

-บริการเจาะเลือดใกล้บ้าน

-บริการผ่าตัดวันเดียวกลับ (One Day Surgery: ODS) ใน 12 รายการ และในปี 2566 เพิ่มเป็น 67 รายการ บริการผ่าตัดแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery: MIS) ใน 19 รายการ

-นวัตกรรมหน่วยบริการ ที่ดึงหน่วยบริการวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข มาร่วมให้บริการ ได้แก่ คลินิกพยาบาล คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น

-บริการดูแลผู้ป่วยโดยใช้เตียงที่บ้านเป็นเตียงโรงพยาบาล” (Home Ward) นำร่องในโรงพยาบาล 75 แห่ง ใน 7 กลุ่มโรคตามที่กรมการแพทย์กำหนด

5. ยกระดับบัตรทองสู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่

-ประชาชนเจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิในระบบบัตรทองที่ไหนก็ได้ ตามนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่”

-ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวที่หน่วยบริการประจำ ใช้เพียงบัตรประชาชนตรวจสอบตัวตนผู้ป่วยเท่านั้น ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการรับบริการ และภาระค่าเดินทาง สปสช.

-โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่ทั่วประเทศ (CA anywhere) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยเร็ว ไม่ให้อาการลุกลามและมะเร็งบางชนิดยังเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้

-ย้ายหน่วยบริการได้สิทธิทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน ให้ประชาชนเปลี่ยนหน่วยบริการประจำด้วยตนเองและได้สิทธิทันทีภายในวันเดียว (เปลี่ยนสิทธิไม่เกิน 4 ครั้ง/ปี)

-นโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” หรือ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจนพ้นวิกฤตและสามารถคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง

 

ข้อจำกัดในการเข้าถึงสิทธิที่ผ่านมา ผู้ที่อยู่นอกเหนือจากสิทธิบัตรทอง ไม่สามารถใช้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระบบของ สปสช.ได้ ซึ่งรัฐบาลอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาทุกคนสามารถใช้สิทธิประโยชน์นี้ได้

“สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงมือทำแล้ว และหลายๆ เรื่องกำลังทำอยู่ ก็เพื่อการพัฒนาชาติต่อไปข้างหน้า ซึ่งการที่จะวางระบบประกันสุขภาพให้มีความเข้มแข็งและพรีเมี่ยมแบบนี้ ต้องมีผู้นำที่เข้าใจประชาชน เข้าใจประเทศ รวมถึงวางกรอบงบประมาณด้านสาธารณสุขให้เพียงพอ ทั่วถึง เป็นธรรม ที่สำคัญต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต ประเทศชาติจึงจะเจริญรุ่งเรือง” ทิพานัน กล่าว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net