ปรัชญานีทเชอเรื่องวงศาวิทยาของศีลธรรม

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ผู้เขียนพบว่ามีข้อเขียนบางชิ้น โดยเฉพาะคอลัมน์ในเว็บไซต์ “ประชาไท” ที่วิพากษ์ปรัชญาและศาสนาพุทธ รวมไปถึงบทความและคำบรรยายอื่นๆ ทางปรัชญาของนักวิชาการที่เผยแพร่ต่อ สื่อสาธารณะ น่าจะมีความคลาดเคลื่อน จึงขอแลกเปลี่ยนด้วย ดังนี้

ประการแรก วงศาวิทยา (genealogy) ทั้งของนีทเชอ (Nietzsher) และฟูโกต์ (Foucault) ไม่น่าจะแปลเป็นไทยว่า “สาแหรก” ได้ เนื่องจากคำว่าวงศาวิทยา (genealogy) โดยทั่วไปหมายถึงการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการสืบเชื้อสายถึงต้นกำเนิด (the origin) โดยเฉพาะการสืบเชื้อสายจาก บรรพบุรุษ ซึ่งอาจกระทำได้โดยไล่สายขึ้นไปหาบรรพบุรุษ (ancestry) หรือไล่สายจากบรรพบุรุษลงมา (decent) เมื่อไล่สายได้แล้ว อาจนำมาแสดงเป็นแผนผังครอบครัว (family tree) ซึ่งรวมถึงบรรพบุรุษและคนในวงศ์ตระกูลทั้งหมดเพื่อทำบันทึกเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์หรือกฎหมาย เช่น กรณีการขอเป็นผู้จัดการมรดกในศาลไทย ต้องแสดงแผนภาพประกอบไล่สายขึ้นไปและลงมาเพื่อให้เห็นทายาทโดยธรรม ตามลำดับที่กฎหมายมรดกกำหนด สำหรับกรณีทั่วไปนี้น่าจะแปลเป็นไทยว่า “สาแหรก” ได้ แต่สำหรับนีทเชอและฟูโกต์ไม่ได้ใช้วงศาวิทยาไล่สายอย่างต่อเนื่องทั้งหมด เนื่องจากวงศาวิทยาของ   นีทเชอและฟูโกต์เป็นการไล่สายชุดความคิดที่มีอัตลักษณ์ ตรงนี้น่าจะคล้ายกับแนวคิดเรื่องการเชื่อมต่อ (articulation) ของลาคราว (Laclau) มากกว่า ชุดความคิดแต่ละชุดมีความต่อเนื่อง (continuity) เฉพาะภายในชุดความคิดของตัวเอง ส่วนการเชื่อมต่อระหว่างชุดความคิดที่ต่างชุดกันนั้นไม่มีความต่อเนื่อง (discontinuity) เหตุผลเพราะประวัติความคิดของคนไม่ได้เป็นเส้นตรงที่สืบเนื่องกันเหมือนประวัติของบรรพบุรุษ เช่น ฟูโกต์ เห็นว่าชุดความคิดการจับคนบ้าไปขังรวมกับคนจนและอาชญากรเป็นชุดความคิดหนึ่ง มีเหตุผลและการกระทำที่มีความต่อเนื่องเฉพาะภายในชุดความคิดนั้น ส่วนชุดความคิดของการนำคนบ้ามารักษาในสถานพยาบาลเป็นอีกชุดความคิดหนึ่ง มีเหตุผลและการกระทำที่มีความต่อเนื่องภายในเช่นกัน แต่ทั้งสองชุดความนี้ไม่ได้มีความเชื่อมโยงภายนอกต่อกัน หมายถึงไม่ได้เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลต่อกันโดยตรง กล่าวคือ ชุดความคิดจับคนบ้าไปขังไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดชุดความนำคนบ้ามารักษาในสถานพยาบาล เพียงแต่อาจมีส่วนประกอบ (elements) ของชุดความคิดที่เป็นส่วนย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องกันอยู่บ้างเท่านั้น เช่น การมองคนบ้าว่าเป็นคนผิดปกติเหมือนกัน แต่มองฐานะทางสังคมของคนบ้าไม่เหมือนกัน จึงมีแนวคิดทางด้านการปฏิบัติต่อคนบ้าไม่เหมือนกัน การมองชุดความคิดที่ไม่ต่อเนื่องนี้ ฟูโกต์ได้ความคิดมาจากนีทเชอ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ดังนั้น การวิเคราะห์ ชุดความคิดที่ไม่ต่อเนื่องกันเช่นนี้ จึงไม่น่าจะแปลเป็นภาษาไทยว่า “สาแหรก” ได้ เพราะสาแหรกเป็นการศึกษาหาต้นกำเนิดที่เป็นการสืบสาย นอกจากจะใช้กับการสืบหาต้นตอของบรรพบุรุษและวงศ์ตระกูลแล้วยังน่าจะยังเป็นการสืบสายที่ต่อเนื่องด้วย ถึงแม้ว่าประวัติของบรรพบุรุษบางช่วงอาจหายไป เพราะไม่มีข้อมูลหรือหลักฐาน แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า “คน” ต้องมีสาแหรก คือ การสืบสายเลือดและตระกูลที่ต่อเนื่องกันมา

ประการที่สอง นีทเชอไม่ได้ค้นหากำเนิดของศีลธรรมอย่างที่นักวิชาการหลายคนเข้าใจหรือที่ปรากฏในงานหลายชิ้น ในงานของนีทเชอ “The Genealogy of Morality” ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1887 ซึ่งประกอบด้วยบทความสามเรื่อง ด้วยเหตุที่งานของนีทเชอ ชื่อว่า “วงศาวิทยาของหลักศีลธรรม” จึงชวนให้คนเข้าใจว่าเขากำลังค้นหา “ต้นกำเนิด” ของศีลธรรม แต่จริงๆ ไม่ใช่ แก่นความคิดของนีทเชออยู่ที่เขามองว่าคนทั่วไปมองศีลธรรมแต่เรื่องดีๆ มีแต่คนดีๆ ประวัติของคนดี และคำสอนของคนดีที่ควรเอาแบบอย่าง แต่นีทเชอเห็นว่า “ศีลธรรมล้วนมีอคติ” (prejudice) ซึ่งหมายถึงเป็นทั้งอคติต่อกลุ่มคนและเป็นอคติของกลุ่มคน ด้วยเหตุนี้เวลาเราจะยึดถือหลักศีลธรรมใดก็ตาม เราไม่ควรยึดถือตาม    ธรรมเนียมประเพณี ตรงกันข้ามควรตั้งคำถาม ทั้งนี้ต้องเข้าใจบริบทของสังคมในศตวรรษที่ 20 ด้วยว่า   นักปรัชญาของโลกขณะนั้นล้วนวิพากษ์การเขียนประวัติศาสตร์แบบอนุสาวรีย์ (the monumental historiography) ซึ่งเป็นปัญหาทางปรัชญาเรียกว่า “ปัญหาของแนวอนุสาวรีย์” (monumental problem) หมายความว่า เราชอบพูดถึงคนใดคนหนึ่งที่เราคิดว่าเขายิ่งใหญ่ แล้วก็ยกย่องว่าคนนั้นเลิศเลอทุกอย่าง เสร็จแล้วเราก็สรุปว่า “เราต้องทำตามคำสอนหรือแนวทางของคนนั้น” โดยไม่มีทางเลือกอย่างอื่น ปัญหาอันนี้ต่อมาจึงเกิดขบวนการทางปรัชญาที่ต่อต้านค่านิยมแบบนี้ เช่น การปฏิเสธความเชื่อค่านิยมเดิมของสังคม (Nihilism) และขบวนการอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) รวมทั้งวิธีการเขียนประวัติศาสตร์แนวอนุสาวรีย์และแนวโบราณวัตถุ เกิดการถกเถียงกันต่อมาว่า “ตกลงประวัติศาสตร์รับใช้คนตายหรือ   คนเป็น” สำหรับนีทเชอเขาตั้งคำถามว่าถ้าเราสักแต่ทำตามแนวทางของธรรมเนียมประเพณีเรื่อยไป แล้วเราจะเป็นนักปรัชญาที่แท้ (true philosopher) ได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้ นีทเชอจึงแนะนำว่า หากเราจะทำความเข้าใจศีลธรรม ไม่ใช่สักแต่ทำตามกัน เราควรดูต้นกำเนิด แต่ตรงนี้ “ไม่ใช่ต้นกำเนิดของศีลธรรม” หากเป็น “ต้นกำเนิดของอคติของศีลธรรม” (the origin of our moral prejudice) โดยเขาศึกษาต้นกำเนิดของอคติของชาวโรมันซึ่งมีฐานะเป็นนายทาส กับอคติของชาวยิว ซึ่งมีฐานะเป็นทาส นีทเชอพบว่าชาวโรมันแบ่งหลักศีลธรรมออกเป็น “ดี/เลว” (good/bad) ส่วนชาวยิวแบ่งหลักศีลธรรมเป็น “ดี/ชั่ว” (good/evil) และนีทเชอ พบว่า “ความเลว” ของหลักศีลธรรมของโรมัน คือ ความอ่อนแอ ดังนั้น ชาวยิวซึ่งเป็นผู้อ่อนแอจึงเป็นความเลว ชาวโรมันมีความชอบธรรมที่จะเป็นผู้รุกรานยิว ส่วนชาวยิวตรงกันข้ามมองว่า “ความชั่ว” คือ การรุกรานคนอื่น ดังนั้น ความดี (การรุกรานคนอื่น) จึงเป็นความชั่วในทัศนะของหลักศีลธรรมของชาวยิว นีทเชออธิบายว่าในที่สุดหลักศีลธรรมดีและชั่วของชาวยิวก็ชนะหลักศีลธรรมของโรม ต่อมาภายหลังหลักศีลธรรมดีและชั่วจึงปรากฏอยู่ในสมัยปฏิรูปในหลักการปฏิวัติฝรั่งเศสและต่อมาจนถึงศตวรรษที่ 20 ซึ่งโลกเข้าสู่ยุคสมัยใหม่

ประการที่สาม อย่างไรก็ตาม นีทเชอปฏิเสธการแบ่งดี/ชั่ว นีทเชอก็เหมือนนักปรัชญายุคสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่คนอื่นๆ ปฏิเสธแบ่งการโลกออกเป็นขาวกับดำหรือโครงสร้างคำคู่ (duality) อื่น เพราะเขาเห็นว่าระหว่างโลกขาวกับดำนั้นยังมีสิ่งต่างๆ ที่หลากหลายอยู่ในนั้นหรือระหว่างนั้นอีกมากมาย หมายความว่านักปรัชญายุคสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ไม่ได้ปฏิเสธสัจนิยม (ultimate truth) เช่น “คนเกิดมาต้องตาย” แต่เขาปฏิเสธว่า “โถพี่ กว่าคนจะตาย มันต้องทำอะไรอีกมากกว่านั้นไหม” หมายความว่าเขาปฏิเสธการลดรูปความรู้เป็นข้อสรุปง่ายๆ เนื่องจากในชีวิตความเป็นจริงของคนมันมีความหลากหลายมากกว่านั้นอีกมาก ในงานชื่อ “Beyond Good and Evil” ค.ศ. 1886 นีทเชอจึงเห็นว่าโลกทั้งหมดล้วนเป็นสีเทา อีกนัยหนึ่ง นักปรัชญาที่แท้ต้องมีจิตวิญญาณเสรี (free spirit) หมายถึงการกำหนดศีลธรรมของตนและออกไปไกลจากการแบ่งเป็นความดีกับความชั่ว (going beyond good and evil) เพื่อสร้างค่านิยมใหม่เป็นของตนเอง เนื่องจากความดีและความชั่วที่ยึดกันมาตามธรรมเนียมประเพณีโดยคนทั่วไปนั้นไม่มีเหตุผล ไร้เดียงสาและคิดเหมือนเด็กว่าจะทดลองทำตามอดีตไปเรื่อยๆ อีกทั้งธรรมเนียมประเพณียังปฏิเสธความคิดที่จะไปไกลกว่าความดีกับความชั่วเพื่อสร้างคุณค่าทางศีลธรรมของตน ด้าน นีทเชอ เห็นว่าในพื้นที่ที่ไกลออกไปจากความดีกับความชั่วคนต้องตัดสินใจกำหนดค่านิยมใหม่โดยอาศัยจิตวิญญาณเสรีและความเข้มแข็ง เพื่อให้สามารถทวนกระแสของอดีตและกำหนดเป็นเจตจำนงของตนเอง

ตรงนี้นี่เองที่ฟูโกต์เอามาอธิบายเพิ่มเติมในงานของฟูโกต์ ชื่อ “Nietzsche - genealogy and history” ค.ศ. 1991 ว่าสาเหตุที่นีทเชอวิเคราะห์ว่าศีลธรรมมีอคตินั้นเกิดจากการเขียนประวัติศาสตร์ หมายความว่าดี/เลว หรือดี/ชั่ว นอกจากขึ้นอยู่กับการกำหนดค่านิยมในขณะนั้นแล้ว ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเงื่อนไขของการเขียนประวัติศาสตร์ขณะนั้นด้วย ฟูโกต์ตีความว่าที่จริงนีทเชอกำลังวิพากษ์ประวัติศาสตร์นิพนธ์ ดังที่ฟูโกต์เห็นว่านีทเชอแบ่งการเขียนประวัติศาสตร์ออกเป็นสามวิธี ได้แก่

(1) การเขียนประวัติศาสตร์แนวอนุสาวรีย์ (the monumental method) เป็นการปลูกฝังและเชื่อมโยงความยิ่งใหญ่ให้อยู่อย่างต่อเนื่องไปตลอด การเขียนประวัติศาสตร์แนวนี้กลบเกลื่อนความแตกต่าง ใช้วิธีลงความเห็นโดยรวม สรุปความและเปรียบเทียบ แต่การเปรียบเทียบอาจทำเพื่อชักจูงใจและทำให้คนเชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง เช่น ประวัติศาสตร์ของชาติ หรือประวัติศาสตร์โลก หรือหนังสือเกี่ยวกับการก่อตั้งยุโรป ซึ่งกลายมาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน อาจรวมถึงประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าทางการแพทย์หรือมนุษยนิยมสมัยใหม่ ตลอดจนประวัติการลงโทษสมัยโบราณ

(2) การเขียนประวัติศาสตร์แนวโบราณวัตถุ (the antiquarian method) เป็นการปลูกฝังอดีต เพียงเพื่อประโยชน์ของอดีต กลายเป็นการสะสมสิ่งของในอดีตย่างไม่ลืมหูลืมตา เช่น ประวัติการทำมัมมี่ ซึ่งไม่ได้สนใจการมีชีวิตอยู่ต่อไปและประเมินอนาคตต่ำไปเสมอ

(3) การเขียนประวัติศาสตร์แนววิพากษ์ (the critical method) เป็นการเขียนประวัติศาสตร์เพื่อรับใช้ชีวิต มีจุดเริ่มต้นมาจากความคิดที่ว่าอดีตต้องแตกสลายและถูกลบล้าง เพื่อยินยอมให้ชีวิตใหม่  ได้เกิดขึ้น อดีตต้องตรวจสอบได้ ส่งไปสอบสวนและตัดสินได้ ไม่ใช่เพื่อให้มีความยุติธรรมหรือมีเมตตา แต่เพื่อยินยอมให้ชีวิตใหม่ได้โผล่ขึ้นมาและมีพลัง 

หลักการวิพากษ์ของนีทเชออยู่ที่ “ประวัติศาสตร์รับใช้คนตายหรือคนเป็น” การเขียนประวัติศาสตร์แนวโบราณวัตถุรับใช้คนตาย เช่น การทำมัมมี่ ส่วนประวัติศาสตร์แนวอนุสาวรีย์มีความกำกวมมากกว่าตรงที่ให้คนมีโอกาสที่จะทำหรือดำเนินการในอนาคต แต่ก็ต้องการให้คนเชื่อ โดยไม่ไตร่ตรอง เพราะเสนออนาคตที่มีแนวทางเพียงหนึ่งเดียวว่าจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนประวัติศาสตร์แนววิพากษ์เป็นเพียงแนวเดียวที่รับใช้คนเป็น เปิดอดีตที่ปิดกั้นเราออกจากเงื่อนไขเดิมและศีลธรรมเดิม และเห็นว่าการรู้อดีตไม่ได้เป็นประโยชน์ในตัวเอง เว้นแต่ว่าเราจะนำมารับใช้ชีวิตในปัจจุบัน

ประการที่สี่ คำว่าศีลธรรมของทาสและศีลธรรมของนายของนีทเชอ ไม่ได้หมายถึงศีลธรรมของโรมหรือศีลธรรมของยิวในฐานะที่เป็นนายทาสกับทาส แต่เป็นนัยประหวัด (implication) จากการ “going beyond good and evil” ดังนั้น คำว่า “ทาส” ของเขาหมายถึงศีลธรรมที่เราทำตามกันเรื่อยมาโดยไม่ไตร่ตรองและไม่ตั้งคำถาม กับคำว่า “นาย” คือ ศีลธรรมของนักปรัชญาหรือผู้มีจิตวิญญาณเสรี ซึ่งรู้จักตั้งคำถาม และที่น่าสังเกต คือ นีทเชอไม่ได้ใช้ คำว่า “ศาสนานายหรือศาสนาทาส” อย่างที่เราชอบนำมาอ้าง เพราะแนวคิดของนีทเชอเป็นแนวคิดที่อยู่กับปัจจุบันและปรากฏชัดว่าเขาต่อต้านคำสอนทางศาสนา เช่น การต่อต้านคำสอนของพุทธศาสนานิกายเซน ด้วยเหตุผลว่านีทเชอคิดว่าคนเราล้วนมีชีวิตจิตใจและมีความรู้สึก เรายากที่จะปิดกั้นการรับรู้โลกได้ ทางที่ดีกว่านั้น มนุษย์ควรเลือกทำความเข้าใจ มีสติกับปัจจุบันและปรับตัวเข้ากับปัญหาและการเปลี่ยนแปลงมากกว่า หลักฐานอันหนึ่งที่แสดงว่านีทเชอสนใจความเป็นอยู่ในปัจจุบันภายใต้กรอบเวลาที่กำลังเป็นและเปลี่ยนแปลงไป คือ นีทเชอได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาผู้ก่อตั้ง” ขบวนการอัตถิภาวะนิยม (existentialism) อีกคนหนึ่ง นอกจาก เคียเคอการ์ด (Kierkegaard) ด้วย

ประการที่ห้า ข้อวิพากษ์ปรัชญาและพุทธศาสนาในคอลัมน์ในเว็บไซต์ประชาไทส่วนมากไม่มี “สังคม” ความจริงปรัชญาและพุทธศาสนาหรือแนวคิดอื่นๆ ล้วนมีสังคมวิทยาความรู้ (sociology of knowledge) คือ มีประวัติศาสตร์และมีสังคมที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น การวิพากษ์โดยเฉพาะในเชิงเปรียบเทียบย่อมจำกัดด้วยกรอบของเวลาและสถานที่ เช่น “การตีกันเหมือนไก่ในสุ่มไก่ตีกันเอง” เป็นคำเปรียบเปรยของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในช่วงระยะเวลาที่ประเทศไทยมีการแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง ซึ่งมีกรอบของความหมายในขณะนั้นว่า “ทำไมคนไทยมาตีกันเอง ทำไมเราไม่มองแนวคิดที่กว้างกว่านั้น” เช่น ในฐานะประเทศไทยที่อยู่ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันกันกับประเทศอื่น หรือการวิพากษ์ท่านพุทธทาส หรือสมเด็จประยุทธ์ ปยุตโต ก็ทำนองเดียวกัน ทั้งท่านพุทธทาสและสมเด็จประยุทธ์กำลังพูดถึงการประยุกต์หลักธรรมทางศาสนาพุทธมาใช้กับการใช้ชีวิตประจำวันของคนในสังคมไทยในปัจจุบัน ในบริบทหนึ่งและในกรณีเฉพาะกรณีหนึ่ง การที่นักเขียนประจำในคอลัมน์ในเว็บไซต์ประชาไทชอบนำเอาคำพูดของของคน ณ จุดหนึ่งของเวลามาวิพากษ์โดยอาศัยกรอบการวิเคราะห์อีกกรอบหนึ่ง ซึ่งมีช่วงเวลาและสถานที่ต่างกัน รวมทั้งมีกรอบความคิดที่แตกต่างกันมาก จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ หรือเปรียบเทียบกันอย่างกำกวม ข้อสำคัญกรอบที่ตั้งขึ้นเพื่อการวิเคราะห์นั้นไม่มีความตรง (validity) เช่น เรื่องวงศาวิทยาของศีลธรรมของนิทเชอที่กล่าวมา อันนี้เป็นปัญหาพื้นฐานทางทฤษฎี (theoretical base) ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าเนื้อหาของการวิพากษ์ หรือหากจะวิพากษ์ก็น่าจะวิพากษ์ให้อยู่ภายใต้กรอบของเวลาและสถานที่ที่มีคำพูดหรือความคิดนั้น เช่น คำพูดของนายแพทย์ประเวศขณะนั้นไม่ถูก หรือตีความได้เป็นอย่างอื่น หรือมีแนวคิดอื่นที่ดีกว่าในขณะนั้นอย่างไร การวิพากษ์แนวหลังนี้น่าจะเป็นพื้นฐานของการวิพากษ์เพื่อเป้าหมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามทฤษฎีวิพากษ์ (critical theory) หรือการวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์ (critical discourse analysis) มากกว่า

 

ที่มาภาพ: www.sarakadeelite.com/faces/friedrich-nietzsche/

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ข่าวรอบวัน

สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท

พื้นที่ประชาสัมพันธ์