ชี้ธนาคาร SVB ล้มแม้กระทบราคาหุ้นธนาคาร แต่ยังไม่เกิดความเสี่ยงเชิงระบบรุนแรง

นักเศรษฐศาสตร์ชี้การล้มละลายของธนาคาร Silicon Valley Bank กระทบราคาหุ้นธนาคารทั่วโลกแต่ยังไม่เกิดความเสี่ยงเชิงระบบรุนแรงขณะนี้ สถานการณ์ไม่เหมือนวิกฤตการณ์การเงินโลกปี 2008 แต่ผู้ฝากเงิน นักลงทุนเริ่มหวั่นไหว คาดกระทบการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมไฮเทคช่วงสั้น 

12 มี.ค. 2566 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าการล้มละลายของธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) สร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุน สถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ ธนาคารแห่งนี้เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ให้กับบรรดาบริษัทไฮเทคสตาร์ทอัพ การล้มละลายของธนาคาร SVB สะท้อนปัญหาฟองสบู่ในธุรกิจไฮเทคสตาร์ทอัพและปัญหาการขาดทุนจำนวนมากจากการลงทุนในตลาดพันธบัตรของสถาบันการเงินในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น มีการถือพันธบัตรระยะยาวจำนวนมาก ตราสารเหล่านั้นมีมูลค่าลดลงอย่างมากอันเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของเฟด การบริหารความเสี่ยงล้มเหลวเมื่อตลาดการเงินโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ผันผวนมากภายใต้ภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้น และไม่สามารถมีสภาพคล่องมากพอให้กับผู้ฝากเงินและการปล่อยสินเชื่อ ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจากหลายประเทศอัตราเงินเฟ้อยังควบคุมไม่ได้ อย่างสหรัฐอเมริกา ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ยังขยายดีกว่าคาด 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม การล้มละลายของธนาคาร SVB อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯลังเลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงๆ การล้มลงของธนาคาร SVB ซึ่งไม่ใช่สถาบันการเงินขนาดใหญ่เหมือนปี 2008 แต่ก็มีผลกระทบราคาหุ้นแบงก์ทั่วโลกและยังไม่น่าเกิดความเสี่ยงเชิงระบบรุนแรงขณะนี้ สถานการณ์ไม่เหมือนวิกฤตการณ์การเงินโลกปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐอาจทบทวนไม่ขึ้นดอกเบี้ยแรงซ้ำเติม และอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25-0.50% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. นี้ หากขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงไปจะกดดันตลาดหุ้น มูลค่าพันธบัตรและหลักทรัพย์ที่สถาบันการเงินถืออยู่มากเกินไป กระทบความเชื่อมั่นผู้ฝากเงิน กรณีการเกิดแห่ถอนเงินฝาก (Bank Run) ออกจากธนาคาร SVB จนกระทั่งแบงก์เกิดขาดสภาพคล่อง หากไม่มีการแก้ไขอย่างทันท่วงทีโดยการเข้าแทรกแซงของสถาบันประกันเงินฝากของทางการสหรัฐอเมริกา (Federal Deposit Insurance Corporation - FDIC) ปัญหาอาจลุกลามจนเกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงินทั้งระบบได้แม้นไม่รุนแรงเท่าปี ค.ศ. 2008 ก็ตาม  คาดกระทบการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมไฮเทคช่วงสั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลง      

สถาบันการเงินของไทยนั้นมีความแข็งแกร่ง แต่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (Deposit Protection Agency - DPA) ของไทยควรเตรียมความพร้อมและเข้าแทรกแซงทันทีหากเกิดกรณีแห่ถอนเงินฝากแบบสหรัฐฯ เพื่อหยุดปัญหาลุกลามต่อระบบการเงินโดยรวมได้ทันท่วงทีเช่นเดียวกับการดำเนินงานของสถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐฯ (FDIC) ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้ คือ ผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตรการเข้มงวดเพื่อคุมเงินเฟ้อของธนาคารกลางในหลายประเทศ ขณะที่รัฐบาลของชาติต่างๆ ก็จำเป็นต้องออกมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เพิ่มภาระทางการคลังอย่างมากโดยเฉพาะประเทศที่มีปัญหาหนี้สาธารณะสูงอยู่แล้ว จากข้อมูลของ IMF ระบุ ปัจจุบัน 60% ของประเทศที่มีรายได้น้อยกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตหนี้สาธารณะได้ ขณะที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงในระดับปานกลาง มีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มสูงหากยังมีการใช้มาตรการประชานิยมโดยไม่ระมัดระวังเรื่องวินัยทางการเงินการคลัง และไม่ระบุแหล่งรายได้ให้ชัดเจนว่าจะนำรายได้ภาษีส่วนไหนหรือเกลี่ยงบตรงไหนมาสนับสนุน ควรทยอยถอนมาตรการอุดหนุนราคาพลังงาน การแจกเงินเพื่อช่วยการบริโภคและการท่องเที่ยว โดยควรเพิ่มนโยบายหรือมาตรการกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน การไม่ทบทวนมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานซึ่งทำให้เกิดปัญหาภาระทางการคลังและปัญหาประสิทธิภาพการใช้พลังงาน มาตรการดังกล่าวยังไม่ส่งเสริมให้เกิดการปรับโครงสร้างไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทางเลือก กระตุ้นการลงทุนในภาคพลังงานหมุนเวียนและทางเลือก สะสมปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษทางอากาศต่อไป  

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่าไทยไม่มีปัญหาเรื่องอาหารแพงเนื่องจากเป็นประเทศผลิตอาหารส่งออก แต่ค่าพลังงานยังแพงทำให้ต้นทุนการผลิตสูง หากเกิดวิกฤติการล้มละลายและขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินลุกลามในสหรัฐอเมริกา ปัญหาหนี้สาธารณะปะทุขึ้นในละตินอเมริกาหรือยุโรปบางประเทศ รวมทั้งเงินเฟ้อชะลอลงจากเศรษฐกิจโลกถดถอย ทิศทางการบริหารนโยบายการเงินควรต้องปรับให้รับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจเหล่านี้ 

มองว่าแบงก์ชาติไม่จำเป็นต้องรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 29 มี.ค. นี้แล้ว เนื่องจากอัตราเงินฟ้อไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ต่ำกว่าประมาณการค่อนข้างมาก ส่งออกชะลอตัวแรง กำลังการผลิตส่วนเกินยังเหลืออยู่จำนวนมาก จึงไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อทางด้านอุปสงค์ในภาคการผลิต แม้นการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างชัดเจนก็ไม่ได้มีผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามอัตราการขยายตัวของประเทศ Emerging and Developing Asia ที่สูงกว่าทุกภูมิภาคที่ระดับ 4.9-5.0% จะกระตุ้นให้เงินไหลเข้าภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินสกุลเอเชียและเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้อีก และสถาบันการเงินในไทยและเอเชียตะวันออกยังคงมีฐานะการเงินแข็งแกร่งสามารถรองรับกรณีการล้มละลายของธนาคาร SVB ได้   

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท