Skip to main content
sharethis

ครม.อนุมัติลงนามร่างสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ไทย-รัสเซีย ต้องเป็นผู้กระทำผิดที่มีโทษจำคุกเกินกว่า 1 ปี ถึงจะส่งตัวได้ พร้อมทั้งนิรโทษกรรมอาวุธปืน เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.อาวุธปืน เปิดโอกาสให้ขึ้นทะเบียนหรือส่งมอบคืนภายใน 180 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ

15 มี.ค. 2566 การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมามีประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่ง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมดังกล่าวว่า ครม.อนุมัติลงนามร่างสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการดำเนินการให้สนธิสัญญามีผลใช้บังคับ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศในการปราบปรามอาชญากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ร่างสนธิสัญญาฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระและหลักเกณฑ์การส่งผู้ร้ายข้ามแดนคล้ายคลึงกับสนธิสัญญาลักษณะเดียวกันกกับที่ประเทศไทยได้จัดทำกับประเทศต่าง ๆ และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 โดยกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เช่น

1. ความผิดที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่กันได้ ต้องเป็นความผิดที่ลงโทษได้ตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ (Double Criminality) และเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกเกินกว่า 1 ปี

2. ผู้ประสานงานกลางของฝ่ายไทยตามสนธิสัญญานี้ คือ อัยการสูงสุด และฝ่ายสหพันธรัฐรัสเซีย คือ สำนักงานอัยการสูงสุด

3. ภาคีที่ได้รับการร้องขอ ไม่ต้องส่งผู้ร้ายข้ามแดนบุคคลซึ่งกระทำความผิดทางการเมืองและความผิดทางทหาร ทั้งนี้ ความผิดต่อประมุขของรัฐ หรือหัวหน้ารัฐบาล หรือสมาชิกในครอบครัวของบุคคลดังกล่าว และการกระทำหรือการละเว้นการกระทำซึ่งเป็นความผิดอาญาตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาพหุภาคีที่ทั้งสองฝ่ายเป็นภาคี ไม่ถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง

4. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะต้องปฏิเสธไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อมีเหตุต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายของภาคีแต่ละฝ่าย อาทิ ความผิดที่มีลักษณะทางการเมือง หรือเป็นความผิดทางทหาร ซึ่งรวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับอายุความ

5. ภาคีที่ได้รับการร้องขอ สามารถปฏิเสธไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อภาคีที่ได้รับการร้องขอมีเขตอำนาจเหนือความผิดที่มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือการส่งบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจะกระทบต่ออำนาจอธิปไตย ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ หรือภาคีที่ได้รับการร้องขอกำลังดำเนินคดีอาญากับบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวในความผิดนั้นอยู่

6. สนธิสัญญานี้ไม่กำหนดให้คู่ภาคีมีพันธกรณีใด ๆ ที่จะต้องส่งคนชาติของคนข้ามแดน อย่างไรก็ดี กรณีที่มีการปฏิเสธการส่งคนชาติข้ามแดน ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะต้องเสนอคดีนั้น ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของตนเพื่อฟ้องคดีต่อไป เว้นแต่ว่าภาคีที่ได้รับการร้องขอไม่มีอำนาจเหนือความผิดนั้น ก็จะไม่ต้องเสนอคดีนั้นต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเพื่อฟ้องคดี

7. กรณีเร่งด่วน ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายสามารถร้องขอให้มีการจับกุมตัวชั่วคราว (Provisional Arrest) บุคคลที่ต้องการ เพื่อให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไปได้

8. ให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยวิธีการแบบย่อ (Simplified procedure) ในกรณีที่บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวยินยอมต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือศาลแห่งภาคีที่ได้รับการร้องขอ

9. กรณีที่ได้รับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศผู้ร้องขอตั้งแต่สองประเทศขึ้นไป ให้ภาคีที่ได้รับการร้องขอพิจารณาว่าจะส่งบุคคลนั้นข้ามแดนให้แก่ประเทศใด โดยนำเหตุผลดังต่อไปนี้มาพิจารณาทั้งหมด 1)ประเทศผู้ร้องขอมีหรือไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย 2)สัญชาติของบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว 3)เวลาและสถานที่กระทำความผิด 4)ความร้ายแรงของความผิด 5) ลำดับคำร้องขอที่ได้รับจากประเทศผู้ร้องขอ

10. กำหนดหลักการว่าบุคคลที่ถูกส่งตัวไป จะไม่ถูกลงโทษในความผิดอื่น นอกเหนือจากในความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน

11. กำหนดขั้นตอนการวินิจฉัยคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการส่งมอบตัวบุคคลในความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน

12. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจนกระทั่งถึงเวลาส่งมอบตัว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวด้วยว่า  ร่างสนธิสัญญาฉบับนี้ ถือเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและการดำเนินการให้มีผลผูกพัน แต่ไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากร่างสนธิสัญญาไม่ได้มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขต หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง

นิรโทษกรรมอาวุธปืน เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.อาวุธปืน เปิดโอกาสให้ขึ้นทะเบียนหรือส่งมอบคืนภายใน 180 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ

รัชดา กล่าวกล่าวถึงผลการประชุม ครม.อีกว่า ปัจจุบันมีการใช้อาวุธปืนทำร้ายร่างกายผู้อื่นเพิ่มมากขึ้นทุกปี และอาวุธปืนที่นำมาใช้ในการก่อเหตุนั้น เป็นอาวุธปืนเถื่อนที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้ง มาตรการปราบปรามอาวุธปืนเถื่อนที่ใช้ในปัจจุบัน ยังไม่บรรลุผล เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจค้นได้ เฉพาะกรณีที่มีข้อมูลน่าเชื่อถือว่า บุคคลนั้นใช้อาวุธปืนในการกระทำความผิด มีพฤติการณ์ครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมายหรือมีความเป็นไปได้ที่จะนำอาวุธปืนไปก่อเหตุร้าย หรือเป็นผู้มีส่วนร่วมกระทำความผิด ทำให้ยากต่อการควบคุม ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว  ครม.จึงมีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปีน พ.ศ. 2490 โดยกำหนดให้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่อยู่ภายในราชอาณาจักรมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้นำเข้าอาวุธปืนจากประเทศเพื่อนบ้านมาขึ้นทะเบียน หรือให้มีการส่งมอบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ คืนแก่นายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนด และกำหนดเพิ่มเติมให้นายทะเบียนท้องที่จัดทำรายละเอียดและจัดเก็บอัตลักษณ์เกี่ยวกับอาวุธปืนด้วย  สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ มีดังนี้ 

1. ให้บุคคลที่มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนดังกล่าวมาขอรับอนุญาตเให้ถูกต้องตามกฎหมายภายในระยะเวลา 180 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ 

2. ให้บุคคลที่มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ที่กฎหมายไม่อนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองหรือจำหน่าย เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงเป็นอันตรายต่อประชาชน ให้ผู้ที่มีอาวุธปืนดังกล่าวนำมามอบให้แก่หน่วยทหารที่ใกล้ที่สุดภายใน180 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ ทั้งนี้ ทางราชการไม่จำเป็นต้องชดใช้ราคาและให้อาวุธปืนนั้นตกเป็นของแผ่นดิน

3. ให้นายทะเบียนท้องที่มีอำนาจในการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืนที่นำมาดำเนินการทางทะเบียน เช่น การทำเครื่องหมายทะเบียน การโอนการแจ้งย้ายไว้เป็นหลักฐาน รวมทั้งอาวุธปืนที่นำมาขึ้นทะเบียนขออนุญาต เพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้องทางทะเบียนอาวุธปืน การตรวจสอบหาอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุอาชญากรรม หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดในทางราชการ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net