'ปดิพัทธ์' ซัดกลับ 'ศรีสุวรรณ' ร้องยุบพรรคก้าวไกลกล่าวหานำสถาบันกษัตริย์มาหาเสียงเป็นเท็จ

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ซัดกลับ 'ศรีสุวรรณ' ร้องยุบพรรคกล่าวหานำสถาบันกษัตริย์มาหาเสียงเป็นเท็จ ตั้งข้อสังเกตรับลูกใครมาหรือไม่ เผยขอรอดูสำนวน หากฟ้องเท็จเตรียมเจอฟ้องกลับ

 

22 มี.ค.2566 จากเมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเอกสารเพื่อชี้ช่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)และนายทะเบียนพรรคการเมืองให้สืบสวนหรือไต่สวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล โดย ศรีสุวรรณ อ้างว่าได้ปราศรัยหาเสียงในเวทีพลเมืองจังหวัดพิษณุโลก หน้า รร.มัธยมมหาวิทยาลัยนเรศวร ถ.สนามบิน เมื่อ 5 มี.ค.ที่ผ่านมามีลักษณะการหมิ่นสถาบันและ/หรือเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่นั้น

วานนี้ (21 มี.ค.) ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า ปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล ตอบโต้กรณีดังกล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ตนได้รับเชิญจากชมรมโรงฝึกพลเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวพิษณุโลก และเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวพิษณุโลกสามารถเข้ามาซักถามพูดคุยกับผู้สมัครจากพรรคการเมืองต่างๆ ได้ โดยตนเป็นคนแรกที่ถูกเชิญเข้าร่วมกิจกรรม โดยมีการถามคำถามเกี่ยวกับ 1) ปัญหาที่เห็นว่าควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน จากประสบการณ์ที่ได้เป็น ส.ส. 2) นโยบายที่จะทำให้พิษณุโลกเจริญขึ้น และ 3) มีนโยบายการกระจายอำนาจและการปราบปรามการทุจริตอย่างไร

ซึ่งในงานดังกล่าว ได้มีการเชิญประชาชนจากทุกกลุ่มมารับฟังวิสัยทัศน์ โดยหนึ่งในกลุ่มที่ถูกเชิญเข้ามาร่วมซักถามพูดคุยด้วยก็คือกลุ่มของ แน่งน้อย อัศวกิตติกร แกนนำศูนย์ช่วยเหลือทางกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิดทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) ซึ่งมีบทบาทไล่ฟ้องประชาชนทั่วประเทศด้วยมาตรา 112 ตลอดเวลาที่ผ่านมา

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า หลังจากการพูดคุยนโยบายตามคำถามหลักเสร็จแล้ว ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมซักถาม ซึ่งในส่วนของแน่งน้อย ได้พูดต่อว่าผู้จัดงาน หาว่าหลอกให้มาฟังหาเสียง ก่อนใช้ท่าทีที่เต็มไปด้วยโทสะ ถามคำถามกับตนว่าเหตุใดต้องไปประกันตัวคนที่ถูกแจ้งข้อหามาตรา 112 และเหตุใดจึงต้องมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งตนได้ตอบคำถามนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น คือ

1) การประกันตัวผู้ต้องหาทางการเมือง ทำเพื่อยืนยันในหลักการนิติธรรม ที่ว่าตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด จำเลยย่อมต้องได้รับการสันนิษฐานก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และการไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ก็คือความบกพร่องในกระบวนการยุติธรรม และด้วยความเป็นคดีทางการเมือง ที่หลายคนมองว่าไม่เข้าข่ายที่จะเป็นความผิดได้ จึงยิ่งต้องมีสิทธิได้รับการประกันตัวให้ออกมาต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม

2) ตนได้อธิบายจุดยืนของพรรคก้าวไกลต่อมาตรา 112 พร้อมอธิบายว่ามีปัญหาทั้งตัวบทและการบังคับใช้อย่างไรบ้าง

3) ปัญหาของงบประมาณที่เกี่ยวของกับสถาบันพระมหากษัตริย์และโครงการพระราชดำริ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา และยังตรวจสอบได้ยาก ซึ่งตนได้อธิบายว่านี่คืองบประมาณที่ใช้โดยหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่การใช้จ่ายของส่วนพระองค์ จึงควรต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส โดยเฉพาะในโครงการที่มีการนำคำว่าในพระราชดำริมาใช้ ซึ่งหลายโครงการพบว่าเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่สมเหตุสมผล ถ้าไม่เข้าไปตรวจสอบจะเป็นที่มาของการทุจริตโดยหน่วยงานต่างๆ ได้

“ผมขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ และขอยืนยันว่าทั้งหมดที่พูดไปไม่ใช่การหาเสียง และไม่อยู่ในวาระของการจัดงานด้วยซ้ำ แต่เกิดขึ้นจากการถาม-ตอบนอกรอบ เป็นวาระที่เกิดขึ้นการแน่งน้อยและพวกที่เป็นฝ่ายขวาที่จ้องจะทำลายขบวนการประชาธิปไตยและพรรคก้าวไกล ที่ส่งลูกต่อให้คนอย่างศรีสุวรรณ ที่ไม่ได้เป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือในสังคมอะไรมานานแล้วนำมาดำเนินการต่อ” ปดิพัทธ์กล่าว

ปดิพัทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกต คือการยื่นคำร้องของศรีสุวรรณที่รับลูกมาจากแน่งน้อยในครั้งนี้ มีประโยชน์อื่นใดแอบแฝงหรือไม่ ซึ่งจากนี้ตนจะรอดูสำนวนจากทาง กกต. และหากพบว่าเป็นการยื่นคำร้องเท็จ ก็จะดำเนินคดีกลับต่อศรีสุวรรณและแน่งน้อยแน่นอน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ตามปกติ แต่เป็นการจงใจสร้างภาระทางคดีให้กับพรรคก้าวไกลโดยไม่จำเป็น และยังกล่าวหาในเรื่องที่พรรคก้าวไกลไม่ได้ทำ ถือเป็นความเสียหายต่อทั้งพรรคก้าวไกลและตนเอง ทั้งนี้ มาตรการในการดำเนินคดีจะเป็นอย่างไร หรือจะดำเนินการฟ้องกลับหรือไม่ ทางพรรคจะไตร่ตรองอีกครั้งหลังจากได้รับสำนวน

ปดิพัทธ์ยังกล่าวต่อไปว่า การยื่นคำร้องเพื่อพยายามนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วด้วยข้อหาที่ไร้สาระ ซึ่งทางพรรคก้าวไกลก็มีความพร้อมที่จะต่อสู้และเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงไม่มีอะไรที่น่ากังวลในกรณีนี้

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเรียกร้องไปยัง กกต. ว่าในเมื่อ กกต. ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรอิสระแล้ว การวินิจฉัยในการรับคำร้อง การชี้มูล การตั้งกรรมการสอบ จนถึงการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องดำเนินไปด้วยความเป็นกลาง ไม่ใช่ทำตัวเป็นเครื่องมือในการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล หาก กกต. พิสูจน์ตัวเองในข้อนี้ได้ ประชาชนก็จะมีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้งในครั้งนี้มากขึ้นด้วย

สำหรับการร้องต่อ กกต. ของ ศรีสุวรรณ เขาระบุว่า สืบเนื่องจากมีชาวบ้านในจังหวัดพิษณุโลกได้จัดส่งคลิปวิดีโอไลฟ์สดของการปราศรัยหาเสียงของ ส.ส.ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคสีส้มท่านหนึ่งมาให้สมาคมฯได้ตรวจสอบ ซึ่งพบว่าการปราศรัยส่วนใหญ่เน้นไปในด้านการปฏิรูปสถาบัน และมีบางถ้อยคำบางตอนมีลักษณะให้ร้ายสถาบันหรือหมิ่นสถาบัน อันเสี่ยงต่อความผิดตาม ม.112 รวมทั้งมีลักษณะใส่ร้ายสถาบันด้วยความเท็จ เพื่อจูงใจให้ประชาชนที่มาร่วมรับฟังหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้กับตนเองและพรรคการเมืองที่ตนสังกัด ในคราวการเลือกตั้งในเดือน พ.ค.66 นี้ อันเป็นข้อห้ามตาม ม.73(5) ของ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.2561 อีกทั้ง การปราศรัยโดยนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งนั้น ถือเป็นสิ่งต้องห้ามตามข้อ 17 ของระเบียบของ กกต. ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองได้เคยมีหนังสือเตือนไปยังพรรคการเมืองต่างๆ อยู่เสมอว่าห้ามนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาหาเสียงโดยเด็ดขาด แต่ทว่าก็ยังปรากฏว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคยังคงที่จะนำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันมาใช้ประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายแต่อย่างใด

ศรีสุวรรณ ระบุด้วยว่า กรณีนี้หาก กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ทำการสืบสวนหรือไต่สวนแล้วพบว่าเป็นความผิดหรือเป็นการฝ่าฝืนตามการชี้ช่องของสมาคมฯ กกต.ก็อาจมีมติเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองที่ฝ่าฝืนดังกล่าวได้ ตาม ม.92(1) หรือ (2) และ ม.93 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 และหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องได้ เนื่องจากผู้ที่ปราศรัยให้ร้ายสถาบันดังกล่าวมีสถานะเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั่นเอง

อนึ่ง เมื่อ 13 มี.ค.ที่ผ่านมาภายหลัง ศรีสุวรรณ  ร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัย ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงพรรครวมไทยสร้างชาติเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งนั้น แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ทำหนังสือเรื่องการควบคุมและกำกับดูแลสมาชิกพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ส่งถึงหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ควบคุมและกำกับดูแลไม่ให้ ไตรรงค์ นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยระบุด้วยว่าอาจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับรวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศและคำสั่งของ กกต. 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท