ศาลขอนแก่นพิพากษายกฟ้องข้อหาเตรียมก่อการร้ายจำเลยคดีขอนแก่นโมเดล pdเหตุแผนที่เจ้าหน้าที่ยึดได้เป็นแผนปกป้องรัฐบาลเลือกตั้งและต่อต้านรัฐประหาร แต่ศาลยังลงโทษจำคุกและปรับ 18 คนด้วยข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช.ห้ามชุมนุม มี 2 คนถูกลงโทษข้อหาครอบครองระเบิด ทนายชี้พยานหลักฐานโจทก์ยังมีพิรุธเตรียมอุทธรณ์
จำเลยและทนายความในคดีขอนแก่นโมเดลขณะที่คดียังอยู่ในการพิจารณาของศาลมณฑลทหารบกที่ 23 แฟ้มภาพของ iLaw
30 มี.ค.2566 ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น มีนัดอ่านคำพิพากษาคดี “ขอนแก่นโมเดล” ที่จำเลยทั้งหมด 26 คน ถูกฟ้องข้อหาร่วมกันเตรียมก่อการร้าย ครอบครองอาวุธและอีกหลายข้อหา
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงคำพิพากษาของศาลว่า ศาลพิจารณายกฟ้องข้อหาร่วมกันเตรียมก่อการร้ายทุกคน เนื่องจากเห็นว่าแผนขอนแก่นโมเดลเนื่องจากไม่ใช่แผนก่อการร้ายแต่เป็นเพียงแผนของการปกป้องรัฐบาลจากการเลือกตั้งและต่อต้านการรัฐประหารเท่านั้น อย่างไรก็ตามศาลยังคงพิจารณาลงโทษจำเลย 19 คนในส่วนของข้อหาอื่นๆ อยู่ โดยมีจำเลยเพียง 2 คนศาลยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา
ข้อหาที่ศาลใช้ลงโทษจำเลย ได้แก่
1. จำเลยที่ 1 ยังถูกลงโทษในข้อหาพาเครื่องกระสุนเข้าไปในเมืองและมีเครื่องกระสุนที่ไม่ได้รับอนุญาตในครอบครอง
2. จำเลย 2 คน คือ จำเลยที่ 5 ศาลลงโทษในข้อหาครอบครองระเบิดและข้อหาชุมนุมมั่วสุมฯ รวมโทษจำคุก2 ปี 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา และจำเลยที่ 9 ศาลลงโทษด้วยข้อหาเดียวกันรวมมีโทษจำคุก 2 ปี 4 เดือนไม่รอลงอาญา ทางทนายความได้ยื่นประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดีแล้ว
3. จำเลย 16 คนถูกลงโทษข้อหาฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติเรื่องชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปให้จำคุก 6 เดือนและปรับ 9,000 บาท แต่ศาลให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี แต่บางรายไม่ต้องจ่ายค่าปรับเพราะถูกคุมขังในช่วงชั้นสอบสวนและพิจารณาคดีเกินโทษจำคุกที่ศาลตัดสิน
3. จำเลยที่ 23 และ 24 ศาลยกฟ้องทุกข้อหา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าคดีนี้เริ่มต้นขึ้นหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ทำรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อ 22 พ.ค.2557 เพียง 1 วัน รุ่งขึ้นมีรายงานข่าวระบุว่าเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมตำรวจกว่า 50 นาย บุกเข้าจับกุมได้ทันที 21 คนจากอพาร์ตเมนต์ริมบึงหนองโคตรบ้านกอกในอ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีจ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ 1 คนถูกจับกุมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสาขาขอนแก่นขณะทำงานเป็น รปภ.อยู่ พวกเขาถูกนำตัวเข้าไปควบคุมตัวและสอบสวนภายในค่ายทหารกรมทหารราบที่ 8 จ.ขอนแก่น และภายหลังมีการตามจับกุมเพิ่มอีก 4 คน ทำให้คดีนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีรวม 26 คน(เรียงตามลำดับที่อัยการฟ้องเป็นจำเลย) ได้แก่
1. จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ | 14. นัฐวุฒิ ชีวะวิทยานนท์ |
2. คำบง คีรี | 15. ปัญญา รัตนขันแสง |
3. ดำรงศักดิ์ สุทธิสินธ์ | 16. พิเชฐ บุญคำ (เสียชีวิต) |
4. เจริญ กิตติกุลประเสริฐ | 17. ทนงค์ ดาวกลาง |
5. พินัย สิงหาด | 18. เสนอ นันทน์ธนกุล (เสียชีวิต) |
6. ศรีสุนทร สาชำนาญ | 19. มีชัย ม่วงมนตรี (หนีระหว่างประกัน) |
7. สุรชาติ วันละคำ | 20. สิระพงศ์ กองคำ |
8. สุริยะ วงศ์สุธา (หลบหนีระหว่างประกันตัว) | 21. พรหมพัฒน ธนกรกุลพิพัฒน์ |
9. ร.ต.ต.สุพจน์ คำจันทร์ | 22. พรทิยพ์ ปราชญ์นาม |
10. ไพบูลย์ รัดดาแย้ม | 23. กัลยรักย์ หรือนินจา สมันตพันธ์ |
11. วิชา เป็นสกุล | 24. เด่นชัย วงษ์กระนวน |
12. ปราโมทย์ เจียมชัยภูมิ | 25. คมสัน ภูสีเขียว (เสียชีวิต) |
13. วิเศษ ศรีทุมมา | 26. ธนกฤต ทองเงินเพิ่ม |
ทั้งนี้คดีนี้เบื้องต้นถูกพิจารณาคดีในศาลทหารเนื่องจากหลัง คสช.ทำรัฐประหารได้ออกประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 ให้คดีที่เกี่ยวกับการครอบครองอาวุธ คดีอาญาในหมวดความมั่นคงและคดีขัดคำสั่งหรือประกาศ คสช. ต้องขึ้นศาลทหาร อัยการศาลทหารจึงฟ้องพวกเขาต่อศาลทหารมณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร์ มีข้อหาทั้งหมด 9 ข้อหา คือ
ฝ่าฝืนประกาศ คสช.เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง ตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 7/2557
ร่วมกันสะสมอาวุธหรือเตรียมการเพื่อก่อการร้าย
เป็นซ่องโจร
ร่วมกันมีอาวุธสงครามในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต
พาอาวุธไปในเมือง
มีเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
มียุทธภัณฑ์ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
มีเครื่องวิทยุในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาคดีฝ่าฝืนชุมนุมทางการเมืองตามประกาศ คสช.ที่ 7/2557 หรือคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 ส่วนใหญ่ ศาลมักพิจารณาจำหน่ายคดีจากสารบบโดยไม่มีคำพิพากษาหรือยกเลิกสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องเนื่องจากบางศาลเห็นว่าคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 22/2561 มายกเลิกประกาศข้อหาห้ามชุมนุมทางการเมืองมีผลทำให้ฐานความผิดดังกล่าวสิ้นสุดลง แต่ก็ยังมีบางคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ทนายชี้ข้อหาเกี่ยวกับอาวุธ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีพิรุธ
วิญญัติ ชาติมนตรี 1 ในทีมทนายความให้สัมภาษณ์หลังเสร็จจากศาลว่า ข้อหาหลักที่ศาลยกฟ้องคือข้อหาร่วมกันเตรียมก่อการร้ายทุกคน เนื่องจากเห็นว่าแผนขอนแก่นโมเดลเป็นแค่ความคิดของจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียว ไม่ใช่แผนก่อการร้ายและเป็นเรื่องสิทธิที่ตามกฎหมายที่จะปกป้องรัฐบาลจากการเลือกตั้งได้และต่อต้านการรัฐประหารยึดอำนาจ แล้วศาลก็มองว่าเป็นเพียงความคิดไม่ได้เกิดพฤติการณ์จริงๆ ดังนั้นแผนที่เป็นแนวความคิดจึงไม่ใช่การเตรียมการก่อการร้าย สำหรับเรื่องการเตรียมกำลังคนและอาวุธที่ยึดได้หลายจุดก็ไม่ได้มีหลักฐานที่เชื่อมโยงกับจำเลยในคดีว่ามีการสะสมอาวุธจริงด้วยเช่นกัน
ทนายความกล่าวว่ามีจำเลยเพียง 2 คนศาลยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา ส่วนคนอื่นๆ ศาลยังคงพิพากษาลงโทษในข้อหาอื่นๆ อยู่ คือพิพากษาลงโทษในข้อหาฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ห้ามชุมนุมให้จำคุกคนละ 6 เดือนปรับคนละ 9,000 บาทแต่ศาลให้รอการลงโทษจำคุกไว้ส่วนโทษปรับแต่เนื่องจากพวกเขาถูกคุมขังอยู่แล้วเกินกว่า 6 เดือนทำให้อาจคำนวนแล้วไม่ต้องจ่ายค่าปรับด้วย
นอกจากนั้นยังมีอีก 2 คนที่ศาลพิพากษาลงโทษในข้อหามีระเบิดในครอบครองให้จำคุกจำเลยที่ 5 เป็นเวลา2 ปี 6 เดือนและจำเลยที่ 9 ข้อหาเดียวกันให้จำคุก 2 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญาทั้งสองคน ทั้งนี้ทางทนายความได้ยื่นประกันตัวแล้วระหว่างอุทธรณ์คดีแล้ว
วิญญัติกล่าวถึงเหตุผลที่พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 5 และ 9 ว่า ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ที่เป็นหัวหน้าชุดของ คสช.ที่เข้าทำการตรวจค้นที่โรงแรมแล้วก็ได้ตรวจยึดวัตถุระเบิดได้จากในรถ แต่ทนายความเห็นว่ายังมีข้อพิรุธและมีข้อหักล้างได้ในหลายจุดซึ่งเป็นประเด็นที่จะใช้อุทธรณ์ต่อ
ผู้สื่อข่าวได้ถามว่าเหตุใดจำนวนระเบิดที่ศาลเอามาพิจารณาจึงต่างจากกองอาวุธจำนวนหลายชิ้นที่ปรากฏในการแถลงข่าวการจับกุม ทนายความตอบในประเด็นนี้ว่าภาพการแถลงข่าวครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาถูกจับกุมเข้าไปในค่ายทหารที่กรมทหารราบที่ 8 จ.ขอนแก่น แล้วจึงนำตัวมาแถลงข่าวในภายหลัง ซึ่งอาวุธที่ปรากฏในการแถลงข่าวนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวพันกับจำเลยเหล่านี้อย่างไรแต่อาวุธเหล่านี้มีอยู่จริงศาลก็ต้องสั่งริบไปแล้วแต่ ณ ขณะนี้อาวุธที่ตรวจยึดได้เหล่านั้นอยู่ที่ใดก็ไม่ปรากฏความชัดเจน
“การแถลงข่าวและการนำมากล่าวหาจนเป็นการฟ้องคดีว่ามีการสะสมอาวุธต่างๆ เหล่านั้นเป็นอาวุธของใครกันแน่ ซึ่งศาลไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นของจำเลยทั้งหมดแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่หนึ่งที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้บงการ”
วิญญัติกล่าวถึงหลักฐานที่ทางเจ้าหน้าที่ได้มาจากการสอบสวนจำเลยในค่ายทหารว่า เป็นหลักฐานที่ศาลเห็นว่ามีพิรุธและเป็นการกระทำฝ่ายเดียวคือเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวที่ไปซักถามในค่ายทหารเหมือนกับคดีความมั่นคงอื่นๆ
“การซักถามในค่ายทหารนั้นเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียวและมีข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกันหลายจุดศาลจึงไม่รับฟังในส่วนนี้และมองว่าการสอบสวนหรือการซักถามในค่ายทหารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานได้”
ทนายความตอบในประเด็นที่ว่าทางพยานโจทก์ที่เป็นตำรวจที่ทำการสอบสวนได้ให้การต่อศาลว่าที่ไม่ได้จัดหาทนายความให้ระหว่างสอบสวน ก็เป็นประเด็นที่ทางทนายความได้ถามค้านพยานด้วยเช่นกันเพราะข้อหาที่มีโทษถึงประหารชีวิตจำเป็นที่ทางเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องจัดหาทนายความให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาด้วยตั้งแต่ชั้นสอบสวน แต่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่มีทนายความอยู่ด้วยทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนอยู่ด้วยทุกคน
วิญญัติกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามศาลเองยังนำคำให้การจำเลยชั้นสอบสวนของตำรวจมารับฟังได้อยู่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทนายความยังมีความเห็นแย้งอยู่และได้พยายามชี้ให้ศาลเห็นถึงประเด็นนี้เพราะคำให้การนั้นก็มีข้อพิรุธที่ไม่สมเหตุสมผลหลายเรื่อง ทั้งพยานที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้องกับคดีและพยานเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไปจนถึงพยานที่เป็นคนทำคำให้การของจำเลยเหล่านี้ไม่ได้เบิกความสอดคล้องกันในศาล ประเด็นนี้ก็จะเป็นประเด็นที่จะอุทธรณ์ในศาลชั้นต่อไป
“ศาลเห็นว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นในชั้นจับกุมแล้วนำตัวไปซักถามในค่ายทหารนำมาสู่กระบวนการสอบสวนในชั้นสอบสวนต่อซึ่งการต่อยอดตรงนี้ศาลไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่ผิดและรับฟังได้เพราะในการวินิจฉัยท่านก็ใช้การวินิจฉัยโดยมองว่าสอดคล้องกับคำให้การของจำเลยหรือผู้ต้องหาเอง เมื่อเราโต้แย้งว่าคำให้การของผู้ต้องหาเกิดจากการบังคับขู่เข็ญและทำให้เกิดแรงจูงใจอะไรต่างๆ ไม่น่ารับฟังได้ตาม ป.วิ อาญา แต่ศาลก็ไม่ได้เห็นสอดคล้องกับทนายจำเลย”
ทั้งนี้กรณีของ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศที่เป็นจำเลยที่ 1 ซึ่งอดีตเคยเป็นตำรวจตระเวณชายแดนที่เกษียณออกมาแล้วและตอนเกิดเหตุเขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสาขาขอนแก่น ซึ่งตัวเขาเองมีอาวุธประจำกายที่ได้จากธนาคารและอาวุธปืนของตัวเองที่มีใบอนุญาตถูกต้องอยู่แล้ว ศาลก็ไม่ได้ริบเพราะมองว่าถูกกฎหมายแล้ว แต่ศาลได้วินิจฉัยในส่วนของกระสุนปืนลูกซอง กระสุนขนาด .45 และกระสุน 11 มม. ที่ทางเจ้าหน้าที่ยึดมาได้ตอนจับกุมนั้นว่ามีการพาเครื่องกระสุนไปในเมืองและยังมีกระสุนของปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย
วิญญัติกล่าวถึงประเด็นนี้ว่าได้โต้แย้งในศาลแล้วว่าเครื่องกระสุนที่ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่ายึดมาจากตะกร้าหน้ารถจักรยานยนต์ของประธินนั้นข้อเท็จจริงคือขณะเจ้าหน้าที่ยึดรถของประธินตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกันแต่อยู่คนละทีแล้วจึงนำรถจากอีกจุดหนึ่งมาให้ประธินชี้ และเมื่อดูภาพก็ไม่พบว่าจักรยานยนต์คันที่ถูกยึดมีตะแกรงหน้ารถ
ทนายความยังชี้ให้เห็นอีกว่า นอกจากนั้นบนเครื่องกระสุนที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดได้ยังไม่พบลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของประธิน แต่ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้นำข้อโต้แย้งเหล่านี้ของทนายความมาพิจารณาและยังเชื่อว่าคำให้การของเจ้าหน้าที่และคำให้การของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนว่าของในตะกร้ารถเป็นของประธินจริง แต่ผู้ต้องหาก็ให้การในศาลแล้วว่าคำให้การในชั้นสอบสวนนั้นฟังไม่ได้เพราะถูกข่มขู่ บันทึกก็เป็นผู้ทำบันทึกแล้วให้เซนเท่านั้น
วิญญัติยังบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารมาแสดงต่อศาล รวมถึงภาพถ่ายที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าได้ถ่ายไว้ขณะทำการจับกุมก็ไม่ได้ถูกนำมาส่งศาลด้วยเช่นกัน ก็ก็น่าสงสัยว่าทำไมเหตุใดเจ้าหน้าที่ไม่นำหลักฐานเหล่านี้มาส่งสารหากต้องการพิสูจน์ความผิดของประธิน ซึ่งประเด็นของข้อโต้แย้งเหล่านี้ก็จะต้องทำการอุทธรณ์ต่อไป
ผู้สื่อข่าวได้ถามต่อว่าในกรณีของประธินมีการข่มขู่คุกคามโดยเจ้าหน้าที่อย่างไรบ้าง ทนายความตอบว่าเท่าที่เจ้าตัวเล่าก็พบว่ามีการข่มขู่ให้กลัวว่าจะมีการทำอันตรายถึงชีวิตเหมือนกับผู้ถูกจับกุมชายคนอื่นๆ เช่นการบอกว่าถ้าไม่ยอมรับก็จะไม่ส่งตัวให้ตำรวจไปดำเนินคดี หรือทำให้เขารู้สึกว่าการออกมาทำแบบนี้จะทำให้เขาถึงแก่ชีวิตได้ แล้วก็มีการขังไว้สอบสวนทั้งวันทั้งคืนซึ่งก็เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว แม้จะยังไม่พบว่ามีการลงมือทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นก็ตาม
วิญญัติกล่าวถึงคนอื่นๆ ที่ถูกจับกุมในวันเดียวกันว่าก็ถูกกระทำในลักษณะเดียวกันกับประธิน และเจ้าหน้าที่ยังใช้เคเบิลไทร์มัดมือไขว้หลังพวกเขาไว้หลายวันจะไปห้องน้ำเจ้าหน้าที่ต้องเป็นคนพาไปหรือการกินอาหารก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ป้อน และพวกเขายังถูกทำให้เหนื่อยและอ่อนล้าระหว่างการซักถาม
ทนายความได้ตอบคำถามถึงแนวคิดทางการเมืองของประธินซึ่งศาลได้พิจารณาเห็นว่าแผนของเขาไม่ใช่การก่อการร้ายด้วยว่า ประธินเองเพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและจะปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยอยู่แล้วที่จะต้องปกป้องเสมือนกับการปกป้องอธิปไตยของไทย
“ดังนั้นแนวคิดของประธินคือการทำอย่างไรไม่ให้เกิดการรัฐประหาร แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารแล้วจะมีวิธีการต่อต้านอย่างไร แต่วิธีการต่อต้านดังกล่าวมันถูกเอามาขยายความว่าเป็นแผนขอนแก่นโมเดล มีการยึดจังหวัดยึดค่ายทหาร ยึดธนาคาร ยึดอะไร ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของจ่าประธิน”
วิญญัติยังบอกอีกว่าประธินเองก็ไม่ได้รู้จักกับจำเลยอีกเลยคนที่ถูกจับมาจากโรงแรมตั้งแต่แรกแต่ถูกจับเอามารวมกันแล้วมารู้จักกันที่หลัง ดังนั้นความเชื่อมโยงและถูกเอามาเป็นคดีจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย และจำเลยที่ 23 และ 24 ที่ศาลยกฟ้องทุกข้อหาก็ไม่รู้จักกับใครในคดีเลยและยังถูกจับกุมตามมาทีหลังแล้วต้องติดคุกโดยไม่ได้ประกันตัวอยู่ 8 เดือน
“แล้ว(เจ้าหน้าที่) ก็ไปที่บ้านแล้วอ้างว่าบ้านของคุณนินจา(จำเลยที่ 23) เป็นที่ฝึกซ้อมอาวุธและส่องสุมกำลังคน แต่พอไปดูก็เป็นบ้านปกติอยู่ติดถนนอยู่ใกล้บ้านผู้ใหญ่บ้านด้วย แล้วสภาพของบ้านก็เป็นบ้านปกติ แต่สภาพหลังบ้านเป็นป่ายางพารา ทหารที่ไปดูก็ยังเบิกความเลยว่าไม่เหมาะสมที่จะทำเป็นที่ส่องสุมอะไร” วิญญัติเล่าถึงกัลยรักย์ หรือนินจา สมันตพันธ์ ซึ่งมีอาชีพเป็นหมอดูและเป็นนักจัดรายการวิทยุ
สำหรับประเด็นเรื่องอาวุธอื่นๆ ที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดมาได้ ทนายความบอกว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการตรวจค้นในวันที่จับกุมแต่มีการไปเอามาทีหลังแล้วก็ไม่ได้พิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ว่าเป็นของใครกันแน่ เพราะการจะบอกว่าของกลางเป็นของใครก็จะต้องตรวจลายนิ้วมือและดีเอ็นเอ จึงมีความไม่สมบูรณ์ในเรื่องของพยานหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงความรู้สึกของทนายความและลูกความหลังศาลมีคำพิพากษา วิญญัติตอบว่าเท่าที่จับความรู้สึกของลูกความได้พวกเขาก็ดูจะมีความสุขหลังต้องมีภาระมาขึ้นศาลอยู่ถึง 9 ปี ต้องหาเงินมาเป็นค่าเดินทาง แล้วก็ยังได้พ้นจากมลทินของข้อกล่าวหา ส่วนทนายความเองก็รู้สึกว่าได้ทำเต็มที่มาตลอดแล้วก็คาดหวังว่าคดีที่มีข้อหาต่างๆ ที่ต่อสู้ไปจะได้รับการพิพากษายกฟ้องหมด แต่ศาลก็ยังพิจารณาถึงหลักฐานโจทก์ว่ายังมีบางส่วนเชื่อได้บ้างก็เป็นประเด็นที่ทนายความโต้แย้งอยู่แล้วก็เป็นปกติที่ทนายความจะเห็นต่างจากศาลก็จะอุทธรณ์ต่อไป
“ขอนแก่นโมเดล” คืออะไร?
ถ้าค้นกูเกิลด้วยคำว่า “ขอนแก่นโมเดล” สิ่งที่ถูกค้นขึ้นมาเป็นเรื่องแรกๆ คงเป็นแผนพัฒนาจังหวัดขอนแก่นทั้งเรื่องเศรษฐกิจและคมนาคม แต่ประชาไทจะชวนย้อนกลับไปในบรรยากาศหลังรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ที่ “ขอนแก่นโมเดล” ถูกทั้งสื่อและเจ้าหน้าที่รัฐกล่าวถึงในฐานะที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่เตรียมใช้ความรุนแรงเพื่อหวังผลทางการเมืองซึ่งคำอธิบายของรัฐบาลทหารและสื่อในเวลานั้นดูจะสวนทางกับผลลัพธ์ของศาลครั้งนี้
“ขอนแก่นโมเดล” ในเวลานั้นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและสื่ออธิบายในลักษณะคล้ายกันว่าเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ที่จะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อหวังสร้างความรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถบุกจับได้ทันการหลังเจ้าหน้าที่ได้รับรายงานว่ามีกลุ่มเสื้อแดงเปิดห้องประชุมในอพาร์ทเมนท์หรูในขอนแก่น
อย่างไรก็ตาม ข่าวการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับขอนแก่นโมเดลนี้เกิดขึ้นท่ามกลางข่าวปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารเข้าควบคุมตัวคนเสื้อแดงที่บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “เชิญตัว” ไปคุยในค่ายทหารและทางโทรทัศน์ยังคงมีการประกาศรายชื่อของบุคคลที่ คสช.เรียกเข้ารายงานตัวไปด้วย
หลังเหตุการณ์จับกุมไม่กี่วัน แม่ทัพภาคที่สอง พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง เรียกประชุมนายทหาร 11 จังหวัดอีสานที่ห้องประชุมกองบังคับการ กรมทหารราบที่ 8 ค่ายสีหราชเดโชชัย จ.ขอนแก่น ในที่ประชุมมีการกล่าวถึงสถานการณ์หลังการรัฐประหารว่ายังคงมี “คลื่นใต้น้ำ” ในหลายจังหวัดของอีสานที่จะเคลื่อนไหวต่อต้าน แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าไร้ปัญหาแบบขอนแก่นโมเดลในพื้นที่ภาคอีสานเพราะว่าการแบ่งแยกดินแดนนั้นคนไทยไม่ต้องการ
แต่ถ้าหากค้นหาคำว่า “ขอนแก่นโมเดล” จะพบว่าสามารถย้อนกลับไปได้ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 2553 ที่ “คมชัดลึก” ใช้คำนี้เรียกการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงในพื้นที่อีสานภายหลังเหตุการณ์ที่กองกำลังทหารภายใต้การควบคุมของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ได้ใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ(นปช.) ที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์บนถนนราชดำเนินในคืนวันที่ 10 เม.ย.2553 แต่ยังคงมีการชุมนุมต่อเนื่องที่แยกราชประสงค์อยู่และมีแนวโน้มจะถูกสลายการชุมนุมตามมา(ที่สุดท้ายผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์ก็ถูกทหารปิดล้อมและเข้าสลายในช่วงวันที่ 13-19 พ.ค.2553)
ทั้งนี้ในรายงานของคมชัดลึกชิ้นดังกล่าวยังอธิบายอีกว่าขอนแก่นโมเดลนั้นเป็นการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในพื้นที่ถูกปลุกระดมเพื่อสร้างความเกลียดชังและก่อการเคลื่อนไหว โดยมีส.ส.ในพื้นที่ชักจูงผ่านสถานีวิทยุ และตำรวจในพื้นที่ปล่อยให้เกิดขึ้นเพราะเป็นผลพวงมาจากการสร้างรัฐตำรวจของ “ทักษิณ ชินวัตร” อีกด้วย
กลับมาที่เหตุการณ์ในช่วงรัฐบาล คสช. หลังจากจำเลยในคดีขอนแก่นโมเดลทยอยได้สิทธิประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีแล้วคำว่า “ขอนแก่นโมเดล” ยังกลับมาอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2558 รายงานข่าวมีการระบุถึงการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าจะก่อเหตุวุ่นวายในกิจกรรมปั่นจักรยาน “Bike for Dad” วันที่ 5 ธ.ค.2558 ที่กรุงเทพซึ่งเป็นกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จะมีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ(ในขณะนั้น) และพระบรมวงศานุวงศ์มาร่วมกิจกรรมด้วย โดยรายงานข่าวระบุถึงความเชื่อมโยงกับ “ขอนแก่นโมเดล”
แผนผังป่วน "ปั่นเพื่อพ่อ"
อย่างไรก็ตาม มีผู้ที่ถูกจับกุมทั้งหมด 9 คน พวกเขาถูกกล่าวหาว่าจะก่อเหตุป่วนงาน Bike for Dad นี้ ปรากฏว่ามีจำเลย 2 คนในคดีขอนแก่นโมเดลคือ ประธิน จันทร์เกศ และธนกฤต ทองเงินเพิ่ม รวมอยู่ด้วยจากทั้งหมด 9 คน อย่างไรก็ตามคดีนี้สุดท้ายแล้วถูกฟ้องในศาลทหารเหลือจำเลยเพียง 5 คน ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยพวกเขาถูกกล่าวหาว่ามีการพูดคุยที่เนื้อหาเข้าข่ายเป็นความผิดระหว่างที่พวกเขายังอยู่ในเรือนจำช่วงเดือนสิงหาคม 2557 ถึง 24 ก.พ.2558 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีข่าวการจัดกิจกรรม Bike for Dad หลายเดือน
ทั้งนี้การเชื่อมโยงกลุ่มขอนแก่นโมเดลกับการก่อเหตุวุ่นวายกิจกรรม Bike for Dad นี้เกิดขึ้นภายหลังมีข่าวใหญ่ที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันกษัตริย์อย่างมากในเดือนตุลาคม 2558จากกรณี “หมอหยอง” หรือสุริยัน สุจริตพลวงศ์, จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ และพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ที่ถูกจับกุม ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ โดยข่าวรายงานถึงความเชื่อมโยงจากการที่พวกเขาเกี่ยวข้องในฐานะผู้มีส่วนในการจัดกิจกรรม Bike for Dad และ Bike for Mom โดยพบว่ามีการทุจริตส่วนต่างการจัดทำเข็มกลัดกิจกรรม และยังตามมาด้วยข่าวการตายอย่างน่ากังขาของหมอหยองและพ.ต.ต.ปรากรม ระหว่างถูกควบคุมตัวภายในเรือนจำทหาร มทบ.11 ที่ถูกเพิ่งตั้งขึ้นมาไม่นานก่อนคดีของทั้งสองคนเพื่อใช้คุมขังผู้ต้องหาคดีความมั่นคงอีกด้วย
จึงอาจกล่าวได้ว่า “ขอนแก่นโมเดล” เป็นคำที่มักปรากฏขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์ที่ความชอบธรรมของรัฐบาลในขณะนั้นกำลังสั่นคลอน แต่ผลลัพธ์ทางคดีที่ออกมาดูเหมือนจะก็ยิ่งสะท้อนถึงความพยายามสร้างปัญหาอื่นขึ้นมาฝังกลบปัญหาของตัวเอง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)