Pew Research Center สำรวจความคิดเห็นคนอเมริกัน 5,902 คน เกี่ยวกับงานของพวกเขา พบส่วนใหญ่พึงพอใจอย่างมากกับความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้จัดการ แต่รู้สึกพอใจค่อนข้างน้อยเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างและโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง
ที่มาภาพ: Nathan Anderson (Unsplash+ License)
จากกระแส 'การลาออกครั้งใหญ่' (Great Resignation) ที่คนทำงานในสหรัฐอเมริกาต่างทยอยลาออกเงียบๆ หลังวิกฤตการระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งเคยมีการสำรวจในช่วงนั้นพบว่ามีชาวอเมริกันประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ "พึงพอใจกับงานที่พวกเขาทำอยู่"
ล่าสุดในปี 2566 นี้ Pew Research Center ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นคนอเมริกัน 5,902 คน ในจำนวนนี้เป็นพนักงานประจำ 5,188 คน และไม่ใช่พนักงานประจำ 714 คน ระหว่าง 6-12 ก.พ. 2566 ด้วยคำถามที่ว่ารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับงานในปัจจุบัน ประสบการณ์ในที่ทำงาน และสวัสดิการในที่ทำงาน พบข้อค้นพบที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
คนทำงานสูงวัยมองงานที่พวกเขาทำอยู่ในเชิงบวกมากที่สุด-คนรุ่นใหม่น้อยสุด
2 ใน 3 ของคนทำงานอายุ 65 ปี ขึ้นไป ระบุว่าพวกเขาพอใจหรือพอใจอย่างมากกับงานที่ทำโดยรวม เทียบกับ ร้อยละ 55 ของผู้ที่มีอายุ 50-64 ปี, ร้อยละ 51 ของผู้ที่มีอายุ 30-49 ปี และ ร้อยละ 44 ของผู้ที่มีอายุ 18-29 ปี
คนทำงานสูงวัย มีแนวโน้มพอใจหรือพอใจในระดับสูงกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับผู้จัดการหรือหัวหน้างาน งานประจำวันของพวกเขา และโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงาน พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะระบุว่าพวกเขาหางานที่สนุกสนานและเติมเต็มตลอดเวลาหรือเกือบตลอดเวลา
ความพึงพอใจในที่ทำงาน มีมุมมองแตกต่างกันตามรายได้
คนทำงานที่มีรายได้สูงมีแนวโน้มที่จะบอกว่าพวกเขาพอใจกับงานของพวกเขามากกว่าคนทำงานที่มีรายได้น้อยและปานกลาง รวมทั้งพึงพอใจต่อผลประโยชน์ที่นายจ้างมอบให้ โอกาสในการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ มากกว่าคนทำงานที่มีรายได้น้อยและปานกลางด้วยเช่นกัน
พวกเขามักมีโอกาสได้ขึ้นเงินเดือนและโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง คนทำงานที่มีรายได้สูงยังชี้ว่าผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลที่พวกเขาได้รับเป็นจำนวนเงินที่ยุติธรรม นายจ้างของพวกเขาใส่ใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา และความปลอดภัยและสุขภาพในที่ทำงานของพวกเขานั้นอยู่ในระดับดีมากหรือยอดเยี่ยม
งานหรืออาชีพมีความสำคัญต่ออัตลักษณ์ของตนเอง
คนทำงานประมาณ 4 ใน 10 คน (ร้อยละ 39) ชี้ว่างานหรืออาชีพมีความสำคัญอย่างมากต่ออัตลักษณ์ของตนเอง, ประมาณ 1 ใน 3 (ร้อยละ 34) บอกว่าค่อนข้างสำคัญ, มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้นที่บอกว่าไม่สำคัญเท่าไรหรือไม่สำคัญเลย - คนทำงานที่จบการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะมองว่างานหรืออาชีพเป็นศูนย์กลางอัตลักษณ์ของตนเอง (ร้อยละ 53)
คนทำงานประมาณ 4 ใน 10 ที่เป็นพนักงานประจำ (ร้อยละ 39) ระบุว่างานหรืออาชีพมีความสำคัญอย่างมากต่ออัตลักษณ์ของตนเอง, ร้อยละ 34 บอกว่าค่อนข้างสำคัญ และ ร้อยละ 27 บอกว่าไม่สำคัญเท่าไรหรือไม่สำคัญเลย
ทั้งนี้สัดส่วนคนทำงานที่เห็นว่างานหรืออาชีพเป็นศูนย์กลางของอัตลักษณ์ของตนเองโดยรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตามเพศ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ หรืออายุ
ถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน
คนทำงานผิวดำระบุว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงานเนื่องจากเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ ร้อยละ 41 ของคนทำงานผิวดำระบุว่าพวกเขาเคยประสบกับการเลือกปฏิบัติหรือได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากนายจ้างในการจ้างงาน การจ่ายเงิน หรือการเลื่อนตำแหน่งเนื่องจากเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ เมื่อเปรียบเทียบกับคนทำงานผิวขาวมีเพียง ร้อยละ 8, คนทำงานฮิสแปนิก ร้อยละ 20 และคนงานเอเชีย ร้อยละ 25 - ในขณะที่ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้หญิง (ร้อยละ 23) กล่าวว่าพวกเธอเคยถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากเพศของพวกเธอ แต่มีผู้ชายเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่ระบุแบบเดียวกัน
การเข้าถึงสวัสดิการที่ต่างกันตามรายได้
พนักงานที่มีรายได้น้อยมีโอกาสน้อยด้วยเช่นกันที่จะเข้าถึงสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้ พนักงานที่มีรายได้สูงและรายได้ปานกลางส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80 ขึ้นไป) ระบุว่านายจ้างของพวกเขาเสนอเวลาพักผ่อนโดยได้รับค่าจ้าง การนัดพบแพทย์เมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อย ประกันสุขภาพ และโครงการเกษียณอายุให้ ส่วนแรงงานที่มีรายได้น้อยมีสัดส่วนที่น้อยกว่า (ประมาณ 2 ใน 3 หรือน้อยกว่า) ที่จะเข้าถึงสวัสดิการเหล่านี้
คนทำงานส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการประกันสุขภาพ - คนทำงานประมาณ 6 ใน 10 คน (ร้อยบะ 62) ระบุว่าสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา คือวันหยุดที่ยังได้รับค่าจ้าง (PTO*) การพบแพทย์เป็นประจำ และประกันสุขภาพ (ร้อยละ 51) โครงการเกษียณอายุต่างๆ (ร้อยละ 44) การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร ครอบครัว หรือการรักษาพยาบาลโดยได้รับค่าจ้างแยกจากวันหยุดที่ได้รับค่าจ้างอื่นๆ (ร้อยละ 43) แต่เมื่อถามว่าถ้าให้ความสำคัญเพียงประการเดียว พวกเขาจะเลือกอะไร ส่วนใหญ่คนทำงานจะเลือกการประกันสุขภาพ
*Paid Time Off (PTO) หมายถึง วันหยุดที่ยังได้รับค่าจ้างจากที่ทำงาน เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนหรือดูแลสุขภาพโดยไม่ต้องสูญเสียรายได้ที่ได้รับจากการทำงาน ประเภทของ PTO อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทแต่ละแห่ง แต่ส่วนใหญ่จะรวมถึงการลาพักผ่อนประจำปี (vacation leave), วันลาป่วย (sick leave), วันหยุดประจำปี (holiday) และบางครั้งอาจรวมถึงวันลาพักร้อน (personal day)
แม้จะมีวันหยุดที่ได้รับค่าจ้างแต่ก็ใช้เวลาหยุดไม่เต็มที่
เกือบครึ่งหนึ่งของคนทำงานที่มีวันหยุดที่ได้รับค่าจ้างระบุว่าพวกเขามักใช้เวลาหยุดน้อยกว่าที่นายจ้างเสนอให้ ประมาณครึ่งหนึ่งของคนทำงานเหล่านี้ระบุว่าพวกเขาไม่รู้สึกว่าต้องใช้เวลาหยุดมากขึ้น (ร้อยละ 52) หรือกังวลว่าอาจทำงานไม่ทันหากใช้เวลาหยุดมากขึ้น (ร้อยละ 49), ร้อยละ 43 ระบุว่ารู้สึกแย่ที่เพื่อนร่วมงานรับงานเพิ่ม มีเพียงผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ระบุว่ากังวลว่าเวลาหยุดมากขึ้นอาจบั่นทอนโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (ร้อยละ 19) หรือเสี่ยงตกงาน (ร้อยละ 16) หรือผู้จัดการหรือหัวหน้าของพวกเขากีดกันไม่ให้หยุดงาน (ร้อยละ 12)