Skip to main content
sharethis

เลขาฯ แอมเนสตี้ยินดีที่พรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้ง 66 สนใจร่วมดีเบตและเสนอนโยบายเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ยังกังวลถึงการละเมิดสิทธิที่ยังเกิดขึ้นอยู่ทั้งการใช้ความรุนแรงสลายม็อบ การติดตามคุกคามนักกิจกรรมไปจนมีการดำเนินคดีคนเหล่านี้ที่บางส่วนยังเป็นเยาวชนเพียงเพราะออกมาแสดงความคิดเห็น โดยเสนอถึงรัฐบาลว่าจะต้องยุติเรื่องเหล่านี้

แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

25 เม.ย.2566 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทยรายงานถึงการแถลงของ แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หลังจากเยือนประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อร่วมเวที “วาทะผู้นำ วาระสิทธิมนุษยชน” ที่จัดขึ้นโดยแอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย และองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ เพื่อให้นักการเมืองจากพรรคการเมืองที่ร่วมลงรับเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค.2566 นี้

แอกเนสกล่าวว่าการมาเยือนในช่วงที่กำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นโอกาสสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะพัฒนาสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ทำให้เธอรู้สึกประทับใจที่มี นักการเมืองจากพรรคการเมืองหลัก ๆ หลายพรรคมาร่วมในเวทีวาระสิทธิมนุษยชนกับการเลือกตั้งและร่วมดีเบตในประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วยจึงนับเป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับผู้นำทางการเมือง และหวังว่าจะช่วยให้เกิดการทบทวนถึงพันธกิจร่วมกันเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

เลขาฯ แอมเนสตี้กล่าวอีกว่าการมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ทำให้ได้พบและประชุมกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคม และผู้รอดชีวิตจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังได้ประชุมกับเพื่อนร่วมงานในสำนักงานประจำประเทศไทย และสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ทำให้ได้เห็นการทำงานที่น่าเหลือเชื่อของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมรุ่นใหม่ผู้กล้าหาญ และรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจจากการยืนหยัดและความมุ่งมั่นของพวกเขาในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความเท่าเทียมเป็นอย่างมาก

“สิ่งสำคัญในการเดินทางมาครั้งนี้คือการได้พบกับเด็กและเยาวชนที่มีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วง พวกเขาเชื่อมั่นในประเทศไทย และต้องการสร้างประเทศที่แข็งแรงและเป็นธรรม แต่เมื่อถามความเห็นเกี่ยวกับอนาคตของตนเองในประเทศนี้ พวกเขากลับตอบว่า มองไม่เห็นอนาคตของตนเอง ทำให้เรากังวลอย่างมาก และคิดว่าควรเป็นข้อกังวลที่สำคัญของผู้นำในประเทศไทยเช่นกัน เด็กและเยาวชนจำนวนมากรู้สึกเช่นนี้ เพราะพวกเขาถูกปราบปราม ทั้งยังมีความไม่เท่าเทียม การทุจริต และความอยุติธรรม พวกเขาจึงมองไม่เห็นอนาคตของตนเองที่นี่ ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้จะต้องถูกเปลี่ยนแปลง”

“เด็กและเยาวชนหลายร้อยคน รวมทั้งนักกิจกรรมทางการเมืองและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ถูกดำเนินคดีอาญาในประเทศไทย เพียงเพราะการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ เสรีภาพของหลายคนถูกพรากไป และอาจมีประวัติอาชญากรติดตัว รวมถึงเด็กวัย 15 ปี ซึ่งถูกควบคุมตัวในสถานพินิจเด็กและเยาวชนเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว”

แอนเนสกล่าวถึงข้อเสนอแนะที่มีต่อรัฐบาลไทยให้ยุติการข่มขู่เด็กผู้ชุมนุมประท้วง และยุติการสอดแนมข้อมูลของพวกเขา รวมถึงต้องยุติการดำเนินคดีต่อเด็กผู้ชุมนุมประท้วงโดยสงบ และให้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและนโยบาย ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้เด็กไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบได้อย่างเต็มที่

นอกจากนั้นเลขาฯ แอมเนสตี้ยังแสดงความกังวลด้านสิทธิมนุษยชนอีกหลายประการทั้งการที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุระหว่างการชุมนุมประท้วง และการควบคุมตัวผู้ชุมนุมประท้วงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยพลการ และการที่รัฐบาลชะลอการบังคับใช้พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายออกไปถึงเดือนตุลาคม 2566

“เราไม่อาจอ้างปัญหาทางเทคนิคเพื่อชะลอการดำเนินงานตามพันธกิจเช่นนี้ได้ กฎหมายต้องถูกบังคับใช้โดยไม่ล่าช้า”

แอกเนสยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และผู้ขอลี้ภัย โดยเฉพาะผู้ที่มาจากประเทศเมียนมาที่หลบหนีข้ามพรมแดนและต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกส่งกลับหรือถูกลักพาตัว

“หลายคนหลบหนีจากบ้านเกิดของตนเองภายหลังการทำรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากการถูกปราบปรามอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วงโดยกองทัพเมียนมา ทางการไทยต้องปฏิบัติตามหลักการไม่ส่งกลับ และต้องไม่ส่งกลับพลเมืองชาวเมียนมาไปยังประเทศใด หากมีความเสี่ยงว่าพวกเขาอาจถูกควบคุมตัวโดยพลการ ถูกทรมาน หรืออาจได้รับโทษประหารชีวิตตามคำสั่งของกองทัพเมียนมา”

แอกเนสย้ำว่าที่ประเทศไทยมีประวัติมายาวนานในการรองรับและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้ลี้ภัยในภูมิภาคและจะต้องทำเช่นนั้นต่อไป และเรียกร้องให้ทางการไทยประกาศพันธกิจที่จะให้การสนับสนุนที่จำเป็นต่อบุคคลที่หลบหนีจากการปราบปรามทั่วทั้งภูมิภาค รวมทั้งที่มาจากเมียนมา เวียดนาม กัมพูชา และลาว ประเทศไทยสามารถและควรเป็นต้นแบบของผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่น

เลขาฯ แอมเนสตี้ แสดงความขอบคุณถึงกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ยินดีพูดคุยในประเด็นสิทธิมนุษยชน รวมถึงภาคประชาสังคม เด็กและเยาวชนผู้ชุมนุมประท้วงในประเทศไทยและองค์การสหประชาชาติและตัวแทนสถานทูต

“แม้ดิฉันได้เดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว แต่พันธกิจที่มีต่อสิทธิมนุษยชนของเรายังอยู่ในประเทศนี้ และอยู่ในภูมิภาคนี้อย่างเข้มแข็ง เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโลกซึ่งให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนเป็นลำดับแรก ไม่ใช่เป็นเพียงประเด็นรองอีกต่อไป”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net