Skip to main content
sharethis

คะแนนนิยมพรรคก้าวไกลที่พุ่งกระฉูดในโพล ในกระแสสังคม มีความหมายมากกว่าผลเลือกตั้ง มีความหมาย “ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” ตั้งแต่ยังไม่ทันเลือกตั้ง

ผู้เชี่ยวชาญการเลือกตั้งอาจบอกว่าโพลวัดผลจริงไม่ได้ ของจริงยังมีเครือข่ายหัวคะแนน ระบบอุปถัมภ์ ฯลฯ แต่กระแสก้าวไกล ไปหาเสียงที่ไหนราวกับมีม็อบหรือ Flash Mob ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟีเวอร์จริง นิยมจริง แค่ยังไม่สามารถวัดว่าได้ ส.ส.เท่าไหร่ ซึ่งท้าทายยิ่ง

บางคนบอกว่าฟีเวอร์ไปไม่ถึงชนบท บางคนแย้งว่าชนบทส่งลูกเรียนราชภัฏ ราชมงคลเยอะไป คิดว่าชาวนาชาวไร่ไม่เคยดู TikTok หรือไง คิดว่าก้าวไกลจะได้แค่ตัวเมือง ทำไมไม่คิดถึงตลาดอำเภอ ตลาดตำบล แม่ค้าทุกวันนี้ไม่ใช่มีแค่อายุ 50-60 อายุ 20-30 ก็เยอะไป ฯลฯ เทศบาล อบต. สมัยนี้ก็คนหนุ่มสาว

อีกไม่ถึง 10 วันรู้กันว่าภูมิทัศน์เลือกตั้งจะเปลี่ยนอย่างไร

คนที่เชียร์อนาคตใหม่ก้าวไกลมาแต่ต้น ยังทึ่งไม่หาย เพราะตอนเริ่มหาเสียงเลือกตั้ง คิดกันว่าได้ ส.ส.40-50 คนก็ดีใจท่วมท้น ล้นเป้าหมาย ไม่คิดว่าหาเสียงไปๆ จะกลายเป็นฟีเวอร์ จนบางคนประเมินว่าได้ถึง 100-120 เดี๋ยวๆ กลัวเว่อร์ไป แม้แกนนำพรรคต้องปลุกเร้า แต่เอาแค่ 60-80 ก็ดีใจตาย

ทำไมก้าวไกลกระแสพุ่ง น่าจะมี 2 เหตุใหญ่ หนึ่ง เป้าหมายทางการเมืองแหลมคม สอง ให้ความหวังการเมืองใหม่ “การเมืองดี”

ทั้งสองข้อกระทบเพื่อไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้ก้าวไกลไม่ได้ดึงความนิยมจากเพื่อไทยฝั่งเดียว ก้าวไกลยังดึงคนตรงกลางๆ พลังเงียบ หรือแม้แต่เหลืองนกหวีดกลับใจ

เพื่อไทยผิดตรงไหน ไม่ได้ผิดอะไรเลย เพื่อไทยวางเป้าหมายทางการเมืองแบบ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” “มีวุฒิภาวะ” เพื่อไทยมองว่าชนะเลือกตั้งได้ อำนาจอนุรักษนิยมก็ยังใหญ่โตมโหฬาร รัฐราชการ ทหาร ตำรวจ กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ 250 ส.ว. เป็นกำแพงมหึมา เพื่อไทยจึงมองแบบ “ผู้ใหญ่” ว่าชนะเลือกตั้งต้องเจรจาต่อรอง

เพื่อไทยเป็นพรรค Mass มุ่งขายนโยบายเศรษฐกิจ “ประชาธิปไตยกินได้” กับคนวงกว้างเรื่องปากท้อง เพื่อไทยต้องเอาชนะก่อนเพื่อดำเนินนโยบาย จึงดึงสมศักดิ์ สุริยะ สนธยา สุชาติ เสี่ยแป้งมันโคราช ฯลฯ เข้าพรรค

ยุทธศาสตร์เพื่อไทยหวังใช้ปากท้องนำ แล้วแก้ปัญหาประชาธิปไตยไปทีละขั้น เช่น แก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร แต่ถ้าจะให้ไปถึงขั้นแก้ 112 ปฏิรูปรื้อล้างกองทัพ ฯลฯ อะไรต่างๆ ที่ก้าวไกลเสนอ ก็มองว่าขัดกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ ซึ่งอยากได้ปากท้องก่อน องค์ประกอบของเพื่อไทยก็มีข้อจำกัด ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่พร้อมที่จะทะลุเพดาน

เพื่อไทยยังโดนข้อหาเตรียมจับมือพลังประชารัฐ กว่าจะปฏิเสธเด็ดขาดก็ช้าไป ประเด็นสำคัญที่ทำให้คนเชื่อ คือเชื่อว่าเพื่อไทยพร้อมจะเดินแนวทางประนีประนอม

พูดกันจริงๆ ไม่ผิดอะไรเลย แต่ประเมินความต้องการของสังคมผิด อย่างน้อยก็ปีกที่หันไปเลือกก้าวไกล ในขณะที่เพื่อไทยมองตัวเองเป็นผู้ใหญ่ มองก้าวไกลเป็นอินดี้ ขายความฝันแห่งอนาคต ที่ยังเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ (อย่างที่ “นางแบก” ตั้งข้อหาหลอกเอาคะแนนประชาชน ในสิ่งที่ทำไม่ได้)

มันกลับกลายเป็นว่า คนจำนวนไม่น้อย ไม่ยอมรับ “เพดานแห่งการประนีประนอม” ที่เพื่อไทยกำหนดไว้ และต้องการทะลุเพดานไปกับก้าวไกล

ซึ่งถ้าคนเลือกก้าวไกลมากพอ ก็จะเขย่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สั่นคลอนหวั่นไหว

นี่คือเพื่อไทยประเมินผิด คิดว่าคนส่วนใหญ่เอาปากท้องก่อน ก็อาจใช่ แต่มีคนไม่น้อยที่โกรธแค้นกับ 9 ปีรัฐประหารสืบทอดอำนาจ ต้องการ “เอาคืน” อำนาจรัฐจารีต กองทัพ และทุนใหญ่ 3 เป้าหมายที่ก้าวไกลพุ่งชน

เอาคืนได้มากได้น้อยก็ขอสักตั้ง ไม่ใช่หวังแต่จะเจรจาประนีประนอม

ในวงกว้างกว่านั้น ก้าวไกลยังเสนอความฝันที่เป็นความต้องการมาช้านานของคนไทย ไม่ว่าคนจนคนรวย ลิเบอรัลหรืออนุรักษนิยม คือการเมืองใหม่ การเมืองดี ใสสะอาด ไม่ใช้เงินหว่าน ความฝันที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางได้เห็นในชาตินี้ แต่กำลังจะเป็นจริงกับก้าวไกล

นี่เป็นทิศทางที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ แม้บางคนวิตกจริต “การเมืองดี” ดึงเสื้อเหลืองนกหวีดกลับใจมาเลือกก้าวไกล จะซ้ำรอยแมลงสาบ “คนดีย์ปกครองบ้านเมือง” แต่การเมืองดีของก้าวไกลคือ “คนธรรมดา” ที่มาจากเลือกตั้ง และต่อต้านรัฐประหาร

มองหน้าสิครับ มองป้ายหาเสียง ผู้สมัครก้าวไกลคือคนธรรมดาอย่างเราทั้งหลาย ไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน ขาใหญ่บ้านใหญ่ เป็นคนธรรมดาที่มีความคิดความกล้าจะเข้าไปเป็นผู้แทนเราในสภา

นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดในการเมืองไทย นับแต่สมัยมหาฝาเข่ง ซึ่งเน้นศีลธรรมอนุรักษนิยม จนในที่สุดก็ไปไม่รอด

การเมืองไทยอยู่ใต้ระบบอุปถัมภ์มานาน รัฐประหารทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง เพิ่มความสำคัญตัวบุคคล เพื่อไทยแม้เป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยก็ยังต้องพึ่งตัวบุคคลเพื่อเป็นพรรคใหญ่ แต่เอามาอยู่ใต้ร่มนโยบาย กระนั้นความเบื่อหน่ายอัดอั้นของคนก็ระเบิดออกมาเป็นก้าวไกลฟีเวอร์

พูดอีกแง่ก็มีคนเปรียบเปรยว่า ก้าวไกลคือทางเลือกใหม่ ระหว่างไม่เอารัฐประหารกับต้องเลือกเพื่อไทย เหมือนสมัยปี 49 เคยมี “สองไม่เอา” แต่ต้องไม่เอารัฐประหารก่อน

ผลเลือกตั้ง “ก้าวไกลฟีเวอร์” จึงมีนัยสำคัญยิ่ง ที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ทั้งในแง่กระทุ้งเพดานอำนาจ และสร้างความหวังการเมืองใหม่

 

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/news_7645527

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net