Skip to main content
sharethis

14 ตุลาคม ถือเป็นวันสัญลักษณ์ของการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของขบวนการนักศึกษาและประชาชน พวกเราจากภูพาน ดินแดนอันมีตำนานการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมเช่นกัน จึงนัดหมายกันไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจพี่น้องที่อยู่ในเรือนจำมุกดาหาร 19 ชีวิต  ซึ่งถูกคุมขังเพื่อรอการพิจารณาคดีของศาล ด้วยข้อหา เผาศาลากลางจังหวัด

 
ถึงเรือนจำมุกดาหารก็ล่วงเข้าเวลาบ่ายแล้ว เราพบญาติของผู้ต้องขังคดีเผาฯ บางรายที่มาเยี่ยมด้วยเช่นกัน จึงเข้าไปกรอกแบบฟอร์มขอเยี่ยมคนที่ไม่มีญาติมาในวันนี้ จากนั้นก็รอเวลาถึงรอบที่ทางเรือนจำจัดให้ ระหว่างที่รอนั้น พวกเราบางคนก็ติดสอยห้อยตามญาติเข้าไปเยี่ยมด้วย   ซึ่งหลังจากที่ญาติคุยไปได้สักพักก็ส่งหูโทรศัพท์ให้พวกเราได้คุยบ้าง
 
ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำบางตอนที่บอกเล่าผ่านสายโทรศัพท์ ถ่ายทอดเรื่องราวหลังกำแพงเรือนจำมุกดาหารที่ขังได้แต่เพียงร่างกายของพวกเขาเท่านั้น
 
วินัย ปิ่นศิลปชัย อาชีพทำขนมขาย  ถูกจับกุมเนื่องจากมีรูปถ่ายขณะยืนอยู่บนกองยางรถยนต์บริเวณนอกรั้วศาลากลาง “ผมไม่ได้เครียด ไม่ได้ห่วงเรื่องตัวเองเลย ทุกคนในนี้เหมือนกัน พร้อมจะสู้ต่อ ที่เป็นห่วงคือลูกกับเมียผม พวกเขากินแกลบไม่ได้ ถ้ากินแกลบได้ผมจะไม่ห่วงเลย   อีกอย่างเป็นกังวลเรื่องว่าจะให้การกับศาลอย่างไร แนวทางคดีจะเป็นไปแบบไหน ตรงนี้ยังไม่มีทนายมาให้คำปรึกษากับเราเลย มีการเซ็นแต่งตั้งทนายแล้ว วันก่อนผมก็เพิ่งเซ็นเปลี่ยนทนายไป แต่ก็ยังไม่เห็นทนายมาคุยกับเรา   ตรงนี้ที่เป็นห่วงมากๆ วันที่ 4 พฤศจิกา เราก็ต้องขึ้นศาลอีกแล้ว อยากให้ทนายมาคุยกับเราหน่อย”
 
ทองมาก คนยืน เกษตรกรจาก อ.ดอนตาล เขาถูกตีด้วยกระบอง และถูกจับกุมอยู่นอกรั้วศาลากลางในวันเกิดเหตุ “ผมอยากให้ช่วยเรื่องประกันตัวหน่อยครับ ที่บ้านตอนนี้ไม่มีคนทำงาน เมียเป็นโรคหัวใจ ลูกสาวเป็นโรคติดเชื้อ  นาก็น้ำท่วมข้าวตายหมด เมื่อไม่กี่วันก่อนบ้านก็โดนฟ้าผ่า เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายหมด ดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร ถ้าได้ประกันตัวออกไปจะได้ทำไร่ทำนา หาเงินเลี้ยงพวกเขา ตอนนี้เมียผมก็ได้แต่ยืมเงินดอกใช้ ตั้งแต่ผมติดคุกมาก็น่าจะเป็นหมื่นแล้ว ทำไมเค้าไม่ยอมให้เราประกันตัว  คนเป็นโรคประสาทก็ยังไม่ให้ประกัน เรื่องตัวเอง เรื่องคดี ผมยังสู้ ยังไม่ท้อแท้ ถึงแม้ไตจะอักเสบ เจ็บเอวอยู่ทุกวัน วันนี้พี่น้องมาเยี่ยมก็ดีใจมากๆ แต่เป็นห่วงทางบ้านนี่แหละ”
 
พระนม กันนอก   ไอ้หนุ่มสกายแล็ป ถูกจับกุมเพราะสามล้อเครื่องคู่ใจที่จอดอยู่นอกรั้วศาลากลางพร้อมยางรถยนต์ที่รับจ้างขนมาถูกบันทึกภาพไว้ “กำลังใจดีมากครับ เมียผมมาเยี่ยมทุกวัน ยิ่งวันนี้พี่น้องมาเยี่ยมอย่างนี้ พรรคพวกทุกคนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กัน ดีใจมากครับ แต่ฝากเมียผมด้วย จะคลอดวันที่ 10 ธันวานี้แล้ว ตอนนี้ก็ยังไปขายลูกชิ้นทอดทุกวัน แต่ถ้าออกลูกก็ไม่มีใครหาเงิน ผมไม่คิดว่ารัฐบาลจะให้ประกันหรอก รอวันอภิสิทธิ์ครบวาระลงจากเก้าอี้นั่นแหละถึงจะมีหวัง”
 
ประคอง ทองน้อย คนเก็บของเก่าผู้มีจิตใจรักประชาธิปไตย เขาไปร่วมชุมนุม และช่วยกลิ้งยางรถยนต์ที่มีคนกลิ้งเลยมาทางเขากลับคืนไป เท่านั้น ที่ทำให้เขาถูกกล่าวหาว่าร่วมกันเผาศาลากลาง “ผมเช่าที่ดินปลูกเพิงอยู่กับแม่สองคน หลังผมถูกจับได้ไม่นาน แม่ก็ล้มป่วยเพราะคิดมาก หมอบอกว่าเป็นมะเร็ง   อีกไม่ถึงเดือนแม่ก็เสีย ตอนนี้ ผมก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว ดีใจที่มีพี่น้องมาเยี่ยม มีกำลังใจมาก แต่ผมอยากรู้ข่าวข้างนอกบ้าง รัฐบาลจะยุบสภาง่ายมั้ยพี่ แกนนำที่กรุงเทพฯ ได้ประกันตัวบ้างรึยัง อยู่ในนี้ผู้คุมไม่ให้ดูข่าวเลย ไม่รู้อะไรเลย เรื่องคดีอีก ไม่รู้อะไร  รอแต่วันขึ้นศาลอย่างเดียว”
 
ไมตรี พันธุ์คูณ หนุ่มชาวนาวัย 24 ปี เขาใส่เสื้อแดงไปชุมนุม จึงเป็นเป้าในการไล่ตี และจับกุม ถึงแม้เขาจะแค่ยืนดู และออกมานอกศาลากลางแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม “ผมไม่ท้อหรอก เราไม่ได้สู้เพื่อตัวเองนี่ สู้เพื่อประชาธิปไตยของทุกคน สู้แทนทุกคน... กรรมการสิทธิเคยมาถามว่า เราจะฟ้องมั้ยเรื่องที่เราโดนทำร้าย ผมก็บอกว่าฟ้อง ทุกคนแหละพี่ฟ้องหมด เราฟ้องไปกับกรรมการสิทธิ เขียนไป แต่ยังไม่รู้เขาทำยังไงต่อ ไม่เห็นเขามาอีก แต่วันนี้ก็มีมาอีกชุดหนึ่ง มาถึงเมื่อกี้ เป็นกรรมการอะไรไม่รู้ แต่เป็นคนของรัฐบาลแหละ มาถึงก็เรียกไปสอบทีละ 3-4 คน ผมยังไม่โดนเรียก เขาคงมาสร้างภาพเฉยๆ คงไม่ได้มาช่วยเราหรอก”
 
สมคิด   บางทราย   อาชีพรับจ้างทั่วไป เขาเป็นคนปีนขึ้นไปเอาพระบรมฉายาลักษณ์ลงมาจากหน้าอาคารศาลากลางเมื่อไฟเริ่มไหม้อาคาร และร้องตะโกนห้ามเมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มสลายการชุมนุมด้วยการขว้างปาก้อนหินใส่ผู้ชุมนุมและมีคนปาตอบโต้ จึงถูกตีด้วยกระบองและถูกจับกุม “ดีใจมากๆ ที่พี่น้องมาเยี่ยม พวกเราจะสู้ สู้ต่อ...ข้างในนี้เขาพูดกันว่า รอให้อภิสิทธิ์ครบวาระออกไป เราก็คงได้ปล่อยตัว จริงหรือเปล่าพี่   แต่ยังไงพวกเราในนี้ก็อยากให้ทนายมาให้คำปรึกษาบ้าง เรายังไม่ได้เจอทนายเลย ตั้งแต่ถูกจับมาก็มีแต่กรรมการสิทธิมาเยี่ยมแค่ครั้งเดียว”
 
ตะวันคล้อยลงจนจรดยอดไม้สูง เมื่อหมดเวลาเยี่ยมของทางเรือนจำ พวกเรากลับออกมาด้วยความรู้สึกดีใจปนทุกข์ใจ ดีใจที่อย่างน้อยการมาของพวกเราก็ทำให้คนข้างในมีกำลังใจ แต่ก็หนักอึ้งด้วยปัญหาที่รับรู้มา ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากของครอบครัว ไม่ได้รับสิทธิ์ให้ประกันตัว และความต้องการทนายให้คำปรึกษา เป็นโจทย์ที่พวกเราต้องกลับมาคิดกันต่อว่าจะช่วยเหลือพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร สำหรับพวกเราแล้ว พวกเขาคือนักโทษการเมือง ที่ต้องถูกจองจำด้วยวาระทางการเมือง ไม่ใช่อาชญากรผู้จุดไฟเผาบ้านเผาเมือง     
 
 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net