Skip to main content
sharethis

มวลชนขานรับ 3 ข้อเสนอ หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยุบสภา และ 1 ความฝัน มีสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ อยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง จบเวที 31 แกนนำคล้องแขนมวลชนมุ่งหน้า สน.สำราญราษฎร์ ขอให้ตำรวจแสดงความชัดเจนเรื่องหมายจับ

16 ส.ค. 2563 วันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศตั้งแต่ช่วงเย็นของการชุมนุมโดยกลุ่มประชาชนปลดแอก ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ดังนี้

18.20 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการปิดการจราจรถนนราชดำเนินตั้งแต่แยกผ่านฟ้าทั้งขาเข้าและขาออก​ ขณะที่เจ้าหน้าที่​ตำรวจ​กระจายกำลังดูแลความปลอดภัย​ตามจุดต่างๆ​ ส่วนประชาชน​ยังทยอยเดินทางมาร่วมชุมนุมอย่างต่อเนื่อง​ เต็มพื้นที่​โดยรอบอนุสาวรีย์​ประชาธิปไตย

ต่อมาแกนนำประชาชนปลดแอกกล่าวย้ำ 3 ข้อเรียกร้อง ระบุว่า รัฐประหารเมื่อปี 57 รัฐได้ทำการคุกคามประชาชนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะประชาชนที่แสดงออกโดยมีจุดยืนเห็นต่างทางการเมือง แค่ออกมาพูดก็ถูกคุกคาม

"เจ้าหน้าที่แอบทำตัวเหมือนพวกถ้ำมอง หนักกว่านี้ขึ้นมาหน่อยคือการที่เจ้าหน้าที่รัฐไปเยี่ยมที่บ้าน ประหนึ่งว่าเป็นญาติ ไปเยี่ยมคนรอบข้างของเราแล้วบอกว่าเราที่ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐมันผิด มันอันตราย จริงๆ แล้วจะอันตรายหรือไม่มันอยู่ที่รัฐไม่ใช่หรอคะ ไม่ใช่ประชาชน

"ข้อต่อมาคือร่างรัฐธรรมนูญ เราขอยืนยันว่าเราต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่างและเอื้อผลประโยชน์ให้ประชาชนจริงๆ 

"ถ้าจะพูดถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สิ่งที่เป็นปัญหามากๆ เลยอย่างแรกที่ต้องกำจัดออกไปก่อนคือ ส.ว. 250 คน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เอื้อประโยชน์ให้เราเลย เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนผู้มีอำนาจ กลุ่มคนที่รัฐประหารขึ้นมา ประชาชนไม่เคยได้ผลประโยชน์เลย 

"ข้อเรียกร้องที่สาม รัฐบาลต้องยุบสภา หลังมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนอย่างแท้จริงแล้ว

 

เวลาประมาณ 18.55 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรกนก คำตา ตัวแทนจากคณะ #ผู้หญิงปลดแอก (Women for Freedom and Democracy) ขึ้นปราศรัยรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายที่เอาผิดทางอาญากับผู้หญิงทำแท้ง 

'ผู้หญิงปลดแอก' ปราศรัยรณรงค์ทำแท้งถูกกฎหมาย คุ้มครองสิทธิผู้หญิง

ผู้ชุมนุม 2-3 หมื่นคน วงสามัญชนขึ้นเล่นดนตรี มีการยิงเลเซอร์ #ตามหาความจริง

เวลาประมาณ 19.05 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วงสามัญชนขึ้นเวทีเล่นดนตรีพร้อมกับการแสดงละครใบ้บนเวที ขณะเล่นเพลง 'คนที่คุณก็รู้ว่าใคร' ผู้ชมร่วมท่องคาถาผู้พิทักษ์ 'เอ็กซ์เปกโต พาโตนุม'

ต่อมาในเพลง 'เพื่อมวลชน' ผู้ชมร่วมเปิดแฟลช ในขณะที่มีการยิงเลเซอร์ข้อความที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหลายใจความ เช่น

#ลบยังไงก็ไม่ลืม
#Saveอานนท์
#Saveวันเฉลิม
#ตามหาความจริง
#ให้มันจบที่รุ่นเรา

ต่อมาพิธีกรชวนประชาชนกดดันเจ้าหน้าที่ให้เปิดไฟประดับ เพื่อเพิ่มความสว่างให้ประชาชนเพื่อความปลอดภัย 

"เพราะไฟเหล่านี้มาจากภาษีประชาชน หรือจะเปิดเฉพาะเมื่อใครมา" พิธีกรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าคณะผู้จัดได้ประเมินว่ามีผู้เข้าร่วมงาน ณ เวลา 19.00 น. ประมาณ 20,000-30,000 คน

เวลาประมาณ 19.30 น. ใหญ่ ตัวแทนจาก 'ขอนแก่นพอกันที' ขึ้นปราศรัย

“หลายคนบอกว่านี่คือความขัดแย้งระหว่างเจเนอเรชัน แต่ผมเดินดูทั่วม็อบแล้วหัวหงอกมากกว่าหัวดำอีก ฉะนั้นนี่มันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างเจอเนอเรชั่น แต่มันคือ ความขัดแย้งระหว่างคนที่ตื่นแล้ว กับคนที่ยังไม่ตื่น” 

ใหญ่ ขอนแก่นพอกันที กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการปราศรัย

ในการปราศรัยของใหญ่ ยังมีการแสดงล้อการเมืองเสียดสีนักการเมืองงูเห่าอย่างศรีนวล บุญลือ และนักการเมืองที่มีคดีติดตัวอย่างธรรมนัส พรหมเผ่า

จากนั้นเขาได้วิจารณ์และกล่าวว่าการรัฐประหารทุกครั้งก็อ้างเรื่องการปราบทุจริต แต่ผู้นำในการรัฐประหารก็มักจะมีข้อครหาเรื่องการทุจริตและการมีภรรยาหลายคนที่ภายหลังบรรดาภรรยาของผู้นำเหล่านั้นก็แย่งชิงมรดกกัน ไม่ว่าจะเป็นสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือสุนทร คงสมพงษ์

ความขัดแย้งในครั้งนี้ที่ใครก็ว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างวัยนั้นไม่จริงเพราะในการชุมนุมครั้งนี้ก็มีคนทุกวัย แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนที่ตื่นและยังไม่ตื่นรู้เท่านั้น ดังนั้นจึงต้องพยายามทำความเข้าใจกันและชักชวนมาร่วม 

ประเด็นต่อมาที่ออกมาแสดงออกทางการเมืองนี้เกี่ยวกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการกระจายความเจริญที่ทำให้ไม่ต้องมาทำงานในกรุงเทพ การคมนาคมที่สะดวกจะทำให้ไม่มีหนี้เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อรถยนต์

ตัวแทนจาก กป.อพช.อีสานระบุ ยุค คสช. เกษตรกรถูกไล่ที่กว่าหมื่นราย จากกฎหมายที่เป็นมรดกระบอบศักดินา

เวลาประมาณ 19.50 น. ตัวแทนจากณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน (กป.อพช.อีสาน) ขึ้นปราศรัย เริ่มต้นจากการกล่าวว่า

"ขอเสียงปรบมือจากเหล่าผู้ชุมนุมให้คนไม่มีสิทธิจะพูด นั่นคือเกษตรกรไทย"

ผู้ปราศรัยกล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในยุค คสช. ตลอดมา มันเป็นยุคสมัยที่ทหารสร้างกฎหมายมากด มาทับ มีพี่น้องที่อาศัยในเขตป่าถูกให้ออกจากที่อยู่อาศัยเป็นหมื่นราย

"ผมในฐานะที่ทำงานกับพี่น้องเกษตรกรพบว่ามีกฎหมายหลายฉบับที่ไล่ชาวบ้าน เพราะเป็นกฎหมายที่เป็นมรดกจากระบอบศักดินา ชาวไร่ชาวนาไม่เคยมีสิทธิได้มีที่ดินของตัวเอง"

หลังจากนั้นจึงเริ่มอ่านแถลงการณ์ของ กป.อพช.อีสาน โดยมีใจความว่า 

"บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจํากัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน ข้อความดังกล่าวคือถ่อยคำที่ระบุไว้ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 34 ซึ่งสอดคล้องกับหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศไทยให้พันธกรณีตามกติกาสากล “ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง” ซึ่งมีการรับรองเสรีภาพในการแสดงออกเอาไว้ใน ข้อที่ 19

ต่อสถานการณ์การจัดเวทีชุมนุม “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” โดยมีการปราศรัยในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ได้มีการปราศรัยที่มีการพูดถึงบทบาทและปัญหาของสถาบันกษัตริย์และสังคมไทยแบบเปิดเผยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา การปราศรัยบนเวทีได้มีข้อเสนอให้แก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยและรักษาสถานภาพของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กป.อพช.อีสาน มีความเห็นว่าข้อเสนอของผู้ชุมนุมเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ การแสดงออกในครั้งนี้เป็นไปตามครรลองของกฎหมายบนหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นข้อเสนอของผู้ชุมนุมจึงไม่ควรถูกกล่าวหาว่าเป็นการละเมิดกฎหมายอาญาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ เพราะไม่มีการปรากฏข้อความใดที่ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ ในทางกลับกันถ้อยความเหล่านั้นเป็นข้อเสนอที่ตรงไปตรงมาและมีเจตนาที่จะรักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงถือเป็นการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอย่างสุจริตชนและยังอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย

กป.อพช.อีสาน จึงขอแสดงจุดยืนเพื่อฝ่าวิกฤติสังคมและการเมืองไทย ดังนี้ (1)สนับสนุนการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างสุจริตชนในประเด็นการแก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อยกระดับสร้างสังคมประชาธิปไตยร่วมกัน (2)ขอเรียกร้องให้ภาคประชาสังคมภาคประชาชนทั้งหลายได้ประกาศตนสนับสนุนการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อเปิดกว้างความคิดเห็นทางการเมืองอันจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมประชาธิปไตย (3)ร่วมกันประณามกลุ่มคนที่พยายามบิดเบือนชี้นำว่าความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นการจาบจ้วงหยาบคายและร่วมประณามกลุ่มคนที่พยายามยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงขึ้นในสังคม

เราจะร่วมกันแข็งขืนไม่ยอมให้ความจริงดังกล่าวถูกลดทอนคุณค่าและผลักดันให้คนหนุ่มสาวกลายเป็นเพียงผู้มีความคิดเห็นที่ก้าวร้าวหรือป้ายสีว่าถูกผู้อื่นชักใยอยู่เบื้องหลัง เราจงร่วมกันเปิดพื้นที่ของการแสดงความคิดเห็นในประเด็นสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้มีการวิเคราะห์ถกเถียงได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเพื่อแก้ปัญหาของประเทศและสร้างความมั่นคงให้กับประชาธิปไตยในสังคมไทยร่วมกัน"

ตำรวจใช้เครื่องตัดสัญญาณยิงโดรนในที่ชุมนุมตก

20.10 น ที่ชุมนุมประชาชนปลดแอก บริเวณจุดคัดกรองเจ้าหน้าที่ตำรวจฝั่งมุ่งหน้าไปสะพานผ่านฟ้า

ผู้สื่อรายงานว่าพบเจ้าหน้าทีถืออุปกรณ์คล้ายเครื่องตัดสัญญาณ จึงสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ใช้อุปกรณ์ดังกล่าว ได้รับคำตอบว่าเป็นเครื่องตัดสัญญาณโดรน พร้อมแจ้งว่าบริเวณนี้ไม่อนุญาตให้บิน

เมื่อผู้สื่อข่าวขอบันทึกภาพอุปกรณ์ดังกล่าว ได้รับการปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่

จากนั้นเวลา 20.20 น พบเจ้าหน้าที่ตำรวจถือโดรนที่ถูกยิงตกลงมา คาดเป็นโดรนของเอกชน พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่มีการวิทยุสื่อสารให้ยิงอีกตัวที่กำลังบินบันทึกภาพผู้ชุมนุมในมุมสูงอยู่

เวลาประมาณ 20.00 น. เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไหม เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนชนกล่าวว่า พวกเรามาร่วมสู้กับนักศึกษาและประชาชน เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา ระบุแรงงานสร้างเศรษฐกิจแต่รัฐไม่เหลียวแล

'แรงงานสร้างเศรษฐกิจแต่รัฐไม่เหลียวแล' เครือข่ายแรงงานปราศรัยต้านเผด็จการ

นอกจากนี้ กลุ่มที่ชูข้อเรียกร้อง 10 ข้อ นำโดย เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เดินรณรงค์ตามจุดต่างๆ ทั่วที่ชุมนุม ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงค่ำ ประชาชนบางส่วนตบมือต้อนรับ

The Bottom Blues ขึ้นร้องเพลง ระบุ "ถ้าวันหนึ่งผมหายไป อยากให้รู้ว่าดีใจที่มาอยู่ตรงนี้"

เวลาประมาณ 20.56 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงศิลปิน ดารา คนมีชื่อเสียงที่สนับสนุนประชาธิปไตย เช่น มารีญา, ฮาร์ท สุทธิพงศ์, ทราย เจริญปุระ
โดยพวกเขาเชิญชวนให้ประชาชนสนับสนุนสินค้าที่โปรโมทโดยดาราที่สนับสนุนประชาธิปไตย 

"เราจะใช้ทุนนิยมล้มเผด็จการ" ผู้ปราศรัยกล่าว

หลังจากนั้นวง The Bottom Blues ได้ขึ้นแสดง เพลงแรกที่ร้องคือ 'เมดอินไทยแลนด์' ของวงคาราบาว

"ถ้าวันหนึ่งผมหายไป ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าดีใจมากที่มาอยู่ตรงนี้ ได้ทำ ได้พูดในสิ่งที่ถูกต้อง" แอมมี่ The Bottom Blues กล่าว

"ถ้าราชดำเนินจะไม่เปิดไฟให้ประชาชน เราเปิดไฟให้ราชดำเนินดีไหมครับ" แอมมี่ชวนผู้ชุมนุมเปิดไฟจากมือถือ

ก่อนบอกว่า ถนนนี้ไม่ได้ตกแต่งเพื่อเอาใจใครแล้ว และขอขอบคุณที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน พร้อมร้องเพลง 1 2 3 4 5 I love you

 
ภาพจาก live ของ voice tv

เอ็นจีโอด้านทรัพยากรเห็นด้วยกับ 10 ข้อเรียกร้อง ย้ำเราไม่ได้สู้กับใคร แต่สู้กับความเชื่อ

เวลาประมาณ 21.10 น. บังแทน สมบูรณ์ คำแหงแกนนำ นักปกป้องทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จ.สตูล ขึ้นปราศรัยระบุว่า

"เหตุผลที่ตัดสินมาวันนี้เพราะ ไม่สามารถทนเห็นนักเรียนนักศึกษาต่อสู้เพียงลำพัง เวลาชุมนุมจะประเมินผู้ชุมนุม 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือคนตั้งใจมา กลุ่มสองกลุ่มที่มาสังเกตการณ์ และกลุ่มสุดท้ายคือ คนที่ไม่คิดแบบเรา

หน้าที่ของเราหลังจากนี้ คือการทำให้คนกลุ่มที่ 2 และ 3 มาอยู่ฝั่งเรา

การคุกคามการข่มขู่ประชาชน ไม่ได้เกิดแค่ที่ กทม. แต่ที่บ้านผมวันนี้มีตำรวจไปคุกคามเพื่อนผมที่เขาค้านเขื่อนเหมืองตะกั่วพัทลุง

กรมชลประทานยังมีนิสัยแบบเดิม เขาอ้างว่าเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แต่ผมเชื่อว่านี่คือการแอบอ้าง

ศอบต. ปกติทำหน้าที่อะไร พี่น้องสามจังหวัดรู้ดี และตอนนี้องค์กรนี้ถูกคุมโดยทหารแบบเบ็ดเสร็จ และสิ่งที่ ศอบต. ทำ คือการสนับสนุน และเป็นหัวเรือใหญ่ในการผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

สิ่งที่ต้องทำคือการทำให้คนเป็นพวกเรามากที่สุด เราไม่ได้สู้กับใครแต่เราสู้กับความคิดความเชื่อ คนที่ยังไม่ออกมา แล้ววิจารณ์เด็กไปวันๆ ควรออกมาสู้กับเด็กๆ ได้แล้ว

และวันนี้พวกผมเพิ่งออกแถลงการณ์ ว่าเราเห็นด้วยกับข้อเสนอ 10 ข้อ ผมไม่รู้จักกับทนายอานนท์เป็นการส่วนตัว แต่นี่คือการพูดในสิ่งที่สำคัญสำหรับประเทศไทย

วันนี้ผมฟังมาตั้งแต่ต้นมีใครได้ยินคำว่าล้มเจ้าหรือยัง ไม่มี เราเพียงต้องการจัดสมดุลอำนาจใหม่ แล้วอยากขอให้สื่อหลักช่วยนำเสนอสิ่งเหล่านี้"

 

ตัวแทนเยาวชนปาตานีปราศรัย "อำนาจทหารอยู่ทุกพื้นที่ทุกช่วงชีวิตของคนสามจังหวัดชายแดนใต้"

เวลาประมาณ 21.20 น. ซูกริฟฟี ลาเตะ ตัวแทนจาก สหพันธ์นักเรียน นิสิต นักศึกษา และเยาวชนปาตานี (PERMAS) ขึ้นปราศรัยกล่าวว่าตัวเองมาจาก"ปาตานี" และอธิบายว่าเหมือนกับการที่คนเชียงใหม่เรียกตัวเองเป็นคนล้านนา

ซูกริฟฟี กล่าวว่าพวกเขาตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่าเรามีเสรีภาพจริงๆ หรือไม่ เขารู้สึกเหมือนถูกกักขัง

“บ้านผมสามจังหวัดชายแดนใต้ การอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ. ความมั่นคง ทุกเช้าที่ผมตื่นนอนผมต้องถามตัวเองว่าผมมีเสรีภาพจริงๆ หรือ ผมรู้สึกถึงกรงขังขนาดใหญ่ที่ล้อมผมไว้ หากผมเป็นนก ผมก็บินได้เฉพาะในกรงขัง"

ทุกเช้าที่ผมตื่นนอน สิ่งแรกที่ผมต้องเห็นคือทหารถือปืนอยู่ในพื้นที่สาธารณะ อยู่ในตลาด อยู่ในมัสยิด อยู่ในทุกพื้นที่ของประชาชน

ในขณะเดินทางผมก็ต้องกังวลว่าถ้าเจอด่าน ผมจะถูกถ่ายบัตรประชาชนไหม เวลาพักเที่ยงในขณะที่อยากโทรหาใครสักคนก็ต้องกังวลว่าจะถูกดักฟังไหม

ถ้าท่านมีน้องชาย น้องสาวเรียนอยู่ ท่านก็ต้องกังวลว่าจะมีทหารเข้าไปสอนในโรงเรียนไหม ตกดึกท่านอยากนอนหลับพักผ่อนอย่างสบายใจ ท่านก็ต้องกังวลว่าตีสอง ตีสาม จะมีคนมาเคาะประตูบ้าน เชิญตัวท่านโดยไม่มีหมายศาลไปค่ายทหาร

ถ้าหากท่านโชคร้าย ท่านอาจจะหกล้มในค่ายทหาร หัวกระแทกพื้น แล้วก็ตายได้ และที่สำคัญกล้องวงจรปิดจากภาษีของพวกท่านใช้ไม่ได้สักตัว

อำนาจของทหารเข้าไปอยู่ในทุกพื้นที่ทุกช่วงชีวิตของเรา

ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาความมั่นคงแต่เป็นปัญหาการเมือง ขณะที่เม็ดเงินหนึ่งหมื่นล้านถูกเทไปที่นั่นทุกปี ทุกปี ก็ยังมีคนตายทุกปี จากความขัดแย้งในพื้นที่ตลอดมา ถ้าเป็นปัญหาความมั่นคงจริง งบหมื่นกว่าล้าน 16 ปีที่ผ่านมา คงสร้างสันติสุขแล้วล่ะครับ

เราสามารถเลือกได้ว่าจะส่งอนาคตแบบไหนให้ลูกหลาน เรามีสิทธิเลือกได้อนาคตเราจะไม่ต้อง #saveเพนกวิน #saveอานนท์ #freeไผ่ดาวดิน

เราขอแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวแล้วจะเป็นชัยชนะของเราตลอดไป"

 

'อานนท์' ขึ้นปราศรัย ขอให้สถาบันกษัตริย์มาร่วมฝันกับพวกเรา ให้สถาบันอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง

'อานนท์' ขึ้นปราศรัย ขอให้สถาบันกษัตริย์มาร่วมฝันกับพวกเรา ให้สถาบันอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง

เวลาประมาณ 22.10 น. อานนท์ นำภา ทนายความขึ้นปราศรัยดังนี้

“วันนี้ผมได้รับเงิน 640 บาท  จากน้องคนหนึ่ง น้องเขียนโน้ตสั้นๆ ว่า พี่อานนท์คะ เงินนี้เหลือจากที่หนูกินขนมที่โรงเรียน หนูขอสมทบทุนด้วยค่ะ เพื่อเป็นแรงในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จากน้องสินา

พี่น้องครับ พวกเราต่อสู้มาไม่นานมาก ขบวนการนักศึกษา ประชาชน ก่อตัวอย่างรวดเร็ว หลายคนถูกตั้งข้อหาไม่เป็นธรรม ก่อนหน้าผมจะโดนจับก็มีน้องๆ ถูกจับดำเนินคดี ล่าสุดคือน้องเพนกวิน ขอเสียงปรบมือให้น้องด้วยครับ พวกเขาคือคนที่มีความกล้าหาญที่ดันเพดานให้เราทุกคน

ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับการใช้อำนาจมืดทุกรูปแบบ อำนาจมืดได้กดดันไปที่ศาล ให้มีการออกหมายจับ หมายค้น และจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดี ผมขอส่งเสียงดังๆ ไปยังศาลยุติธรรม ขอให้ทุกท่านเลือกข้างระหว่างจะอยู่ข้างประชาธิปไตยหรือเผด็จการ 

ก่อนที่ท่านจะมีคำสั่งพิพากษาจับพวกเราไปติดคุกด้วยข้อหาไม่เป็นธรรม ขอให้พวกท่านนึกถึงผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตายสองครั้งประท้วงความไม่เป็นธรรม เขาคนนั้นคือคณากร เพียรชนะ เขาคือผู้พิพากษาที่ยืนข้างประชาชน ยืนหยัดว่าต่อให้คนอยู่สูงแค่ไหนก็สั่งเขาไม่ได้

การต่อสู้เบื้องต้น ข้อเรียกร้องของเราคือการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ตอนนี้มีพรรคการเมืองที่พร้อมจะแก้รัฐธรรมนูญใหม่ โดยให้มีการตั้ง สสร. (สภาร่างรัฐธรรมนูญ) ขอให้พี่น้องปรบมือดังๆ ให้พรรคที่พร้อมจะแก้รัฐธรรมนูญ

แต่อย่าเพิ่งดีใจ การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการแก้โดยการลดทอนอำนาจเผด็จการ ส.ว. ที่อยู่ข้างเผด็จการไม่ยอมง่ายๆ เราต้องร่วมกันกดดันให้ถึงที่สุด

การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่หน้าที่ ส.ว. ที่จะออกความเห็นว่าจะแก้เรื่องไหน การแก้ต้องมาจาก สสร. ที่มาจากประชาชนเลือกเท่านั้น สสร. ที่มาจากทุกสาขาอาชีพ ทุกภูมิภาค ต้องมีนิสิต นักศึกษา พี่น้องประชาชน ที่มีความคิดอ่านประชาธิปไตย เข้าสภา ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

เงื่อนไขที่เผด็จการเสนอมาตอนนี้คือให้แก้ได้เพียงบางเรื่องบางมาตราที่ไม่แตะต้องอำนาจที่แท้จริงของเผด็จการ 

พี่น้องครับมีพรรคการเมืองบางพรรคที่พร้อมจะอ่อนข้อกับข้อเสนอเผด็จการ ผมอยากให้พี่น้องปรบมือเป็นสัญญาณให้พรรคที่พร้อมจะคุกเข่าลุกขึ้น พวกเราประชาชนจะอยู่ข้างพรรคการเมืองที่อยู่ข้างประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนั้นจากการชุมนุมของเราตั้งแต่วันแรก 18 ก.ค. และมีการชุมนุมต่อเนื่องทั่วประเทศ การชุมนุมแทรกซึมสู่น้องๆ มัธยม ตอนนี้น้องๆ เป็นวัยเยาว์ที่ถูกคุกคามมากที่สุด ตำรวจไปคุกคามถึงบ้าน อยากให้ทุกคนปรบมือเป็นกำลังใจ ถ้าน้องๆ เป็นอะไรไป อย่าหวังว่าประยุทธ์ จันทร์โอชาจะมีที่ยืนในประเทศนี้

สำคัญที่สุดคือด่านหน้าที่ออกมาเป็นผู้นำชุมนุมคือน้องๆ นิสิต นักศึกษา เราได้นำเสนอข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ข้อเรียกร้องนั้นได้ถูกประกาศและถูกขานรับจากประชาชนทั่วประเทศแล้ว

น้องๆ ที่เป็นทีมจัด ผู้ที่ปราศรัยวันที่ 10 หลายคนถูกคุกคาม ถูกตามจับถึงหอพักในมหาวิทยาลัย พวกเขาไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียวที่เป็นหินก้อนแรกในการบุกเบิกครั้งนี้

พวกเราทุกคนต้องช่วยกันปกป้องพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นน้องเพนกวิน น้องรุ้ง น้องนักศึกษาคนอื่นๆ ถ้ามีใครเป็นอะไรไป ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกของมันจะไม่มีที่ยืนในประเทศนี้

สุดท้ายเราได้รับการร้องขออย่างเป็นทางการให้พวกเรายืนหยัดข้อเสนอเพียงแค่สามข้อคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา หยุดคุกคามประชาชน ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับความใฝ่ฝันอันสูงสุด คือการอยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับสังคมไทย โดยการเป็นสถาบันที่อยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง พวกเขาขอร้องว่าห้ามพวกเราฝันต่อ

ผมขอประกาศ ณ ที่นี้เลยว่า พวกเราจะฝันต่อ เราจะฝันต่อ เราจะฝันต่อ อย่างแน่นอน

นอกจากนั้นเรายังต้องเผยแพร่ความฝันนี้ไปสู่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ทุกสีเสื้อ ทุกหมู่เหล่า ทุกสาขาอาชีพ ให้มาร่วมฝันกับเราครับพี่น้อง

สำคัญที่สุด ความฝันที่อยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่สังคมไทย อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง เราอยากชวน อยากเรียกร้องด้วยความจริงใจ ให้สถาบันพระมหากษัตริย์มาร่วมฝันกับพวกเรา มาร่วมกันสร้างความฝันนี้ให้เป็นจริง และคนไทยทุกคนจะเงยหน้ามองสังคมโลกอย่างภาคภูมิใจ ว่ากูนี่แหละประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง

นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เผด็จการยังมีอีกหลายมาตรการมาจัดการกับเรา ขอให้พี่น้องทุกคนเข้มแข็ง ระลึกเสมอว่าพวกเรารับไม้มาต่อมาจากคณะราษฎร มาจากจิตร ภูมิศักดิ์ มาจากปรีดี พนมยงค์ 

ในการทำให้สังคมนี้มีสิทธิเสรีภาพและเป็นประชาธิปไตยให้ได้ คำว่า ‘ให้ได้’ ในที่นี้คือให้มันได้ ให้มันจบ ในรุ่นของเรา!

ให้นึกถึงน้องๆ นักศึกษาที่เขาเสียสละยอมติดคุกติดตาราง ถ้าอ่อนแอขอให้มองซองจดหมายสีชมพูนี้ ลายมือของน้องสินา เราจะสู้ไปด้วยกัน 

ขอเสียงปรบมือยาวๆ เป็นสัญญาว่าเราจะสู้ไปด้วยกัน

(เสียงปรบมือยาวของผู้ชุมนุม)

เราจะไม่ยอมแพ้ ขอบคุณอีกครั้ง ผมจะยังอยู่ที่เวทีนี้จนวินาทีสุดท้ายของการชุมนุม ขอบคุณครับ”

'ฟอร์ด-ทัพเทพ' ปราศรัย ถ้าการเมืองดี ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

เวลาประมาณ 22.20 น. ฟอร์ด-ทัดเทพ เรืองประไพกิจเสรี เลขธิการคณะ #ประชาชนปลดแอก ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวว่า

"นานแค่ไหนแล้ว เกิน 6 ปีแล้วใช่ไหมที่เราไม่ได้เห็นนการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดบนถนนราชดำเนิน ครั้งนี้เป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดหลังจาก คสช. เข้ามา

ถ้าถามผมว่าชอบหรือเปล่าที่มายืนตรงนี้ ไม่มีใครชอบ ทั้งแดด ทั้งฝน แต่การที่เราออกมาเพราะเรารู้ว่ามันมีความผิดปกติ มันมีอำนาจมืดปกคลุ่มประเทศนี้อยู่

สาเหตุที่ออกมาวันนี้เพราะ เคยคิดถึงอีก 20-30 ปี ถ้าผมมีลูก แล้วลูกถามผมว่า ตอนนั้นพ่อทำอะไรอยู่ ทำไมพ่อไม่ออกมาสู้ ผมไม่รู้จะตอบเขายังไง จึงออกมาเรียกร้องกับผู้มีอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งที่เอ่ยถึงได้ และเอ่ยถึงไม่ได้ ว่า ต้องหยุดการคุกคามประชาชนทุกรูปแบบ รัฐสภาต้องผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดให้มีการเลือกตั้ง สสร. (สภาร่างรัฐธรรมนูญ) และยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่

นี่คือทางแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานานของประเทศ โดยมีวิธีการคือ ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 269-272 เพื่อเอา ส.ว. แต่งตั้ง 250 คนออกไปจากรัฐสภาภายในเดือนกันยายนนี้

ต่อมาเปิดทางให้มีการแก้ไขเพิ่มให้มีการเลือกตั้ง สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องไม่มีธง ต้องถกเถียงพูดคุยได้ทุกมาตรา

และจากนั้นให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มาจากเสียงประชาชน และเห็นหัวประชาชนอย่างแท้จริง

และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมีสองเงื่อนไขที่เราไม่เอาคือ รัฐบาลแห่งชาติ และไม่เอาการรัฐประหาร หากมีการรัฐประหารเราจะออกมาต่อต้านแน่นอน

นอกจากนี้เรามีความฝันร่วมกันคือ เราต้องการให้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างเเท้จริง

ทั้งหมดนี้เพื่อการเมืองที่ดี ถ้าเรามีการเมืองดี เราจะมีสวัสดิการที่ดี มีความเสมอภาคทางการศึกษาการศึกษา และการสาธารณสุข มีการกระจายอำนาจ สมรสเท่าเทียม ไม่ใครถูกบังคับเกณฑ์ทหาร และถ้าการเมืองดีประชาขนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

ขอขอบคุณที่มาร่วมทวงคืนประชาธิปไตย หากภายในเดือนกันยายนยังไม่มีการตอบรับจากรัฐบาล เราจะกลับมาทีนี้อีกครั้ง เราจะไม่หยุดจนกว่าอำนาจมืดจะหมดไป"

 

สัมภาษณ์คนร่วมชุมนุม

"ผมเดินผ่านเขา เขาก็ด่าผมว่าไอ้ควายแดง ผมก็ตอบว่า ขอบคุณครับ" 

ถนอม ชาภักดี’ ศิลปิน นักวิจารณ์ศิลปะ อาจารย์พิเศษคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มาดูการชุมนุมก่อรูปตั้งแต่เที่ยงวัน เล่าถึงการเดินผ่านที่ชุมนุมปกป้องสถาบันกษัตริย์ของ ศอปส. 

ถนอมมองการชุมนุมของคนเรือนหมื่นว่าเป็นการทะลุเพดานของคนรุ่นนี้ สิ่งที่เขาเสนอและแสดงออกในที่ชุมนุมนั้นไกลเกินกว่าที่คนรุ่นก่อนจะคาด การชุมนุมครั้งนี้คือการปฏิวัติร่มเหมือนฮ่องกง ต่างคือที่นี่ใช้ร่มกันแดด

ต่อข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของนักศึกษาทั้ง 10 ข้อ ถนอมกล่าวว่าเป็นเรื่องสามัญ เป็นเรื่องที่ถูกความกลัวกดไว้เป็นร้อยปี คนในรุ่นนี้ได้พูดแทนคนอีกจำนวนมากในเรื่องนี้

เนื่องจากการคุยเกิดขึ้นที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ เราจึงให้ถนอมวิจารณ์อนุสรณ์สถาน ได้ความว่า ในด้านการใช้งานมันไม่ได้ เพราะพื้นที่ทุกอย่างถูกสร้างเพื่อไม่ให้มีพื้นที่เปิด เหมือน museum, gallery สมัยก่อน วิธีการสร้างอนุสรณ์สถานแบบรูปเคารพในปัจจุบันควรถูกทำลาย

"มันไม่อ้าแขน" ถนอมกล่าว

บุญรอดบุ๊คส์ กับหนังสือในม็อบที่แนะนำให้รัฐบาลอ่าน

"เมืองกินคน" "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" "จาตุรนต์ บนทางดับไฟใต้" และสารพัดหนังสือเกี่ยวกับการปฏิวัติและการเมืองในลาว พม่า จีน เรียงรายอยู่บนร้านค้าชั่วคราวของร้าน ที่มีคนเดินชมไปมา

'บุญรอดบุ๊คส์' คือนามกรสมมติของคุณลุงวัยเกือบ 50 ปีที่มาปูผ้าขายหนังสือในการชุมนุมประชาชนปลดแอก

เขาเล่าว่า หนังสือที่นำมาขายนั้นคือความตั้งใจที่จะให้เยาวชนรุ่นใหม่เรียนรู้ว่าการเมืองไทยและการปฏิวัติเป็นอย่างไร

เขาแนะนำหนังสือ "รู้ทันเศรษฐกิจการเมือง" เขียนโดยอนุสรณ์ ธรรมใจ ให้รัฐบาลอ่าน เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ กู้อย่างเดียวแต่หาเงินไม่เป็น

ส่วนหนังสือที่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาอ่าน คือ "แก่นชีวิต" โดยสนั่น ชูสกุล ด้วยเหตุผลว่าสนั่นเป็นนักคิด นักเขียน นักต่อสู้

'รณรงค์เสรีเบียร์'

ภายในที่ชุมนุมมีผู้นำคราฟเบียร์ผลิตในไทยมาเรียงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ระบุว่าเพื่อสนับสนุนการเปิดเสรีการผลิตเบียร์ และระบุว่ามีกฏหมายที่ให้ประโยชน์กับนายทุน ทำให้ผู้ผลิตรายย่อยลำบาก พร้อมกล่าวว่ามีความฝันอยากเห็นเบียร์ที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น

ผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่งถือป้าย 'We need real democracy' ให้เหตุผลว่า "มาร่วมชุมนุมเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นนายกฯ โกหกประชาชนขนาดนี้ ทั้งไปโกหกต่างประเทศว่าไม่มีการละเมิดสิทธิ โกหกว่าจะรับฟังเสียงเยาวชน แต่ก็ยังมีการคุกคามประชาชน สิ่งที่อยากให้ประเทศเปลี่ยนคือ ต้องทำตาม 10 ข้อของนักศึกษา 10 ข้อนั้นดีสุด ถ้าทำได้ประเทศก็จะเป็นประชาธิปไตยจริงๆ"

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net