ผู้แทนอียูหวัง FTA เติมเต็มความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หนุนปรองดองในไทย วอนทุกฝ่ายยึดมั่นหลักประชาธิปไตย เลี่ยงความรุนแรง และหาทางออกให้กับความต่างด้วยสันติวิธี

ภาพจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ Yingluck Shinawatra

13 พ.ย.2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดโอกาสให้ บารอนเนสแคทเธอรีน แอชตัน ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป (EU) ด้านการต่างประเทศ และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เข้าพบ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดย ผู้แทนระดับสูงของอียู ออกแถลงการณ์หลังเข้าพบด้วย ดังนี้

"ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้งและได้พบกับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันนี้

เราได้ทบทวนถึงความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองฝ่ายและหารือเกี่ยวกับเป้าหมายที่มีร่วมกัน เรามีความยินดีต่อการลงนามในเบื้องต้นของความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ (Partnership and Cooperation Agreement – PCA) ระหว่างอียูและประเทศไทยที่เพิ่งมีไปเมื่อเร็วๆนี้ ความตกลงดังกล่าวเป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมถึงความไว้วางใจที่เรามีให้กันและการเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ทวิภาคีของทั้งสองฝ่าย โดยความตกลงเขตการเสรีที่ได้เริ่มเปิดการเจรจาในเดือนมีนาคม 2556 จะเข้ามาเติมเต็มความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

อียูและไทยได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทั้งในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และเวทีระหว่างประเทศ อียูเห็นคุณค่าของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดที่เรามีกับประเทศไทยและอาเซียน ตลอดจนบทบาทนำของประเทศไทยในวาระความเชื่อมโยง (connectivity)

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีและข้าพเจ้ายังได้หารือเกี่ยวกับผลคำตัดสินล่าสุดของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่สร้างความกระจ่างเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ข้าพเจ้ายินดีที่ประเทศไทยและกัมพูชาตั้งใจที่จะหารือกันอย่างใกล้ชิดและสร้างสรรค์ต่อไปในเรื่องความร่วมมือระหว่างชายแดนบริเวณเขาพระวิหาร และข้าพเจ้าขอให้ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันเพื่อคุ้มครองมรดกโลกแห่งนี้

ในด้านสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่นายกรัฐมนตรีว่าอียูสนับสนุนความปรองดองในประเทศไทย ข้าพเจ้าเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย หลีกเลี่ยงการยกระดับความรุนแรง และหาทางออกให้กับความต่างด้วยสันติวิธี

ท้ายที่สุด ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสขอบคุณนายกรัฐมนตรีสำหรับความตั้งใจอย่างแรงกล้าในการสร้างแรงบวกต่อความสัมพันธ์ระหว่างอียูและประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา"