ภาพวันนั้น-พื้นที่วันนี้ : 5 ปี “กระชับวงล้อม” กับความคืบหน้าคดี
เป็นเวลา 5 ปีสำหรับเหตุการณ์ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. “กระชับวงล้อม” พื้นที่การชุมนุมคนเสื้อแดง จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงเดือน พ.ค. (13 – 19 พ.ค. 53) ซึ่งมีพื้นที่การปะทะในวงกว้าง ตั้งแต่ ถนนราชปรารภ ถนนพระราม 4 วันนี้ร่องรอยกระสุนที่บ่งบอกถึงทิศทางการยิงยังคงปรากฏอยู่ให้เห็นบ้างตามพื้นที่ดังกล่าว แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว เช่น จุดที่ทหารประจำการปั๊มน้ำมันเอสโซ่ที่ ถนนราชปรารภ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็กลายปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ และปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่ถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดปะทะสำคัญ ปัจจุบันก็ปิดไปแล้ว รวมทั้งจุดใกล้เคียงอย่างสนามมวยลุมพินีและอาคารหน้าสนามมวย ซึงเป็นจุดปรากฏภาพทหารพลซุ่มยิ่งระวังป้องกันอยู่บนนั้นวันที่ 15 พ.ค.53 ปัจจุบันก็ถูกรื้อไปแล้ว แม้แต่อาคารของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยเฉพาะในส่งของ ZEN ที่ถูกเพลิงไหม้ไปเมื่อ 5 ปีก่อนก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว
รอยกระสุนบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่บริเวณสะพานลอยหน้าปาก ซ.งามดูพลี ถ.พระราม 4 ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดปะทะสำคัญ
ภาพรอยกระสุนที่ยังคงหลงเหลือบริเวณสะพานลอยใกล้ปั้มเชลล์ ราชปรารภ
รอยกระสุนที่ยังเหลืออยู่บริเวณเสาไฟฟ้า หน้าคอนโดเดอะคอมพลีท ใกล้ปั้มเชลล์ ราชปรารภ
อาคารของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยเฉพาะในส่วนของ ZEN เมื่อคืนวันที่ 19 พ.ค.58
ไม่เพียงสถานที่ที่มีการเปลี่ยนแปลง กระบวนการแสวงหาความจริงและกระบวนการยุติธรรม แม้จะมีหลายกรณีที่ศาลมีคำสั่งในการไต่สวนชันสูตรพลิกศพหาสาเหตุการตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.150 ระบุทิศทางที่มาของกระสุนหรือผู้ลงมือกระทำให้เกิดการเสียชีวิตว่ามาจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ. แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดจะยากมากขึ้น หลังจากเมือวันที่ 28 ส.ค. 57 ศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 และ อ.1375/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ จำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 84 และ 90 จากกรณีออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)เมื่อปี 2553 ทำให้เห็นมีผู้ถึงแก่ความตาย และบาดเจ็บจำนวนมาก
โดยศาลระบุว่ามูลเหตุแห่งคดี เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศอฉ. ซึ่งเป็นความผิดตามอำนาจหน้าที่ราชการ และเป็นการออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หาใช่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลอาญาไม่ ศาลอาญาจึงไม่มีอำนาจรับคำฟ้องของโจทก์ทั้ง 2 สำนวน จึงพิพากษายกฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 และยกฟ้องการขอเป็นโจทก์ร่วม
อย่างไรก็ตามท่ามกลางภาพความตายที่ยังคงหลงเหลือในโลกไซเบอร์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เขียนทดลองนำภาพเหตุการณ์บางส่วนเมื่อ 5 ปีก่อนมาเปรียบเทียบกับปัจจุบันเพื่อทบทวนความทรงจำและฉากความโหดร้ายที่สุดฉากหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยจะนำภาพสำคัญๆ ย้อนกลับไปถ่ายตามจุดต่างๆ ที่เกิดเหตุ พร้อมอัพเดทความคืบหน้าของคดีที่เกี่ยวข้องกับภาพ
ภาพที่ 1 (ดู Google Map จุดดังกล่าว [1])
ภาพที่ 1 ภาพร่างของอาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง รหัสทองหล่อ 016 หรือ มานะ แสนประเสริฐศรี วัย 22 ปี ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ กระสุนปืนทำลายสมอง ที่บริเวณปากซอยงามดูพลี หน้าธนาคารกสิกรไทย ถนนพระราม 4 ช่วงเวลาประมาณ 14.00 – 15.00 น. ของวันที่ 15 พ.ค.56 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้เคียง(ฝั่งตรงข้ามถนน)และต่อเนื่องกับเหตุการณ์ “พลแม่นปืนระวังป้องกัน” 2 นาย ในภาพที่ 2 โดยนอกจากมานะแล้ว ใกล้ๆ กันซึ่งมองไม่เห็นในภาพจะมีร่างของพรสวรรค์ นาคะไชย ซึ่งเป็นผู้ถูกยิงที่มานะพยายามเข้าไปช่วยพร้อมถือธงที่เป็นสัญลักษณ์กาชาดเข้าไปด้วย ก่อนจะถูกยิงและเสียชีวิตทั้งคู่ โดยคดีของทั้ง 2 คนถูกรวมเป็นคดีเดียวกันและมีการเริ่มการไต่สวนการเสียชีวิตแล้ว (คลิกอ่านเพิ่มเติม [2])
นอกจากนี้ภาพดังกล่าวในวันที่ 20 พ.ค.53 ยังถูกพล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก นำไปใช้แถลงข่าวเรื่องการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารในการขอคืนพื้นที่ในวันที่ 19 พ.ค.53 เพื่อแสดงให้สังคมเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงถูกยิงจากการพยายามเข้าไปดับเพลิงที่เซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งๆ ที่เป็นภาพที่ต่างสถานที่ ต่างเวลา โดยพล.ท.ดาว์พงษ์ แถลงว่า “จังหวะเวลาที่เรารอยังไม่เข้าในช่วงนั้น ผู้ที่อยู่ข้างในบางส่วนก็เริ่มเผาทำลาย ภายในก็เริ่มเผาตรงเซ็นทรัลเวิลด์ โรงแรมเซนทารา แกรนด์ ดับไปแล้วก็มาเผาใหม่ เราก็พยายามเอารถดับเพลิงเข้าไปในพื้นที่ พอรถดับเพลิงเข้าไปในพื้นที่ก็ถูกยิงออกมา ทำให้ไม่สะดวกในการเข้าไป ก็ทำให้เกิดความสูญเสีย แต่เราก็พยายามเต็มที่ที่จะพยายามนำรถดับเพลิงเข้าไป แต่มีการต่อต้านอยู่ตลอดเวลา” (พล.ท.ดาว์พงษ์แถลงพร้อมนำภาพมานะ ซึ่งถูกยิงวันที่ 15 ตรงปากซอยงามดูพลีมาแสดงประกอบ คลิกดูคลิปดังกล่าว [3])
อย่างไรก็ตามทั้ง มานะและพรสวรรค์ การไต่สวนการตาย ศาลได้มีคำสั่งไปเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.56 ว่า “ทั้งสองถึงแก่ความตาย เพราะถูกยิงด้วยกระสุนปืนชนิดร้ายแรงและมีความเร็วสูง ขณะอยู่บริเวณใกล้ปากซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ” (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม [4])
ในภาพจะเห็นการล้อมกำแพงสีขาว ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นสนามมวยลุมพินีและอาคารหน้าสนามฯ ที่ 2 “พลแม่นปืนระวังป้องกัน” ประจำอยู่ในวันที่ 15 พ.ค.53
ภาพเมื่อ 3 ปีที่แล้วก่อนอาคารดังกล่าวถูกรื้อ
ภาพที่ 2 (ดู Google Map จุดดังกล่าว [6])
ภาพ 2 : พื้นที่ที่เคยเป็นอาคารหน้าสนามมวยลุมพินี ซึ่งเป็นจุดที่ 2 “พลแม่นปืนระวังป้องกัน” ซึ่งถูกระบุว่าเป็นเหตุการณ์ในวันที่ 15 พ.ค.53 เวลาประมาณ 14.00 น. บริเวณชั้น 2 อาคารหน้าสนามมวยลุมพินี กับประโยคที่มาพร้อมเสียงปืนว่า "ล้ม ล้ม แล้ว อย่า อย่า อย่า อย่าซ้ำๆ ปล่อย" พร้อมกับทหารอีกนายที่ยิงซ้ำ (คลิกดูวิดีโอคลิป [7])
โดย ณ ปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวถูกล้อมด้วยกำแพงเพื่อก่อสร้าง ผู้เขียนจึงขอนำภาพจุดดังกล่าวขณะที่อาคารยังอยู่มาเพื่อเปรียบเทียบ
และเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 55พลแม่นปืนระวังป้องกันทั้งคู่ได้เข้าให้ปากคำกับ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนการเสียชีวิตเหตุการณ์สลายการชุมนุมดังกล่าว โดย พ.ต.อ.ประเวศน์ ระบุว่าทหารทั้งสองให้การยอมรับว่าการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 15 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา เป็นการปฏิบัติหน้าที่บริเวณบ่อนไก่ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับหน่วย พร้อมแจ้งเตือน และในวันนั้นได้มีการลั่นไกปืนยิงขู่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยกระสุนที่ใช้เป็นกระสุนยาง(อ่านรายละเอียด [8])
ภาพที่ 3
(ดู Google Map จุดดังกล่าว [9])
ภาพที่ 3 : ถ่ายจากบริเวณหน้าสนามมวยลุมพินี ไปทางปั้ม ปตท.(ซึ่งขณะนี้รื้อไปแล้ว) เวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 14 พ.ค.53 ในภาพมุมไกลจะเห็นคนกำลังหามร่างชายเสื้อขาว เขาคือนายเสน่ห์ นิลเหลือ คนขับรถแท็กซี่ วัย 48 ปี ถูกยิงเสียชีวิตด้วยกระสุนปืนลูกโดดเข้าที่บริเวณหน้าอกทะลุเส้นเลือดใหญ่และปอด โดยที่มาภาพเหตุการณ์จาก BKlinK [10] ซึ่งจะเห็นภาพต่อเนื่องอีก 3 ภาพ และสามารถดูภาพจากฝั่งผู้ชุมนุมได้ที่ Masaru Goto [11] รวมทั้งวิดีโอคลิปจังหวะเกิดเหตุ (ดู [12] นาทีที่ 6.42 เป็นต้นไปจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้น) ซึ่งคดีของเสน่ห์ยังไม่เข้าส่วนกระบวนการไต่สวนการเสียชีวิต
ภาพที่ 4 (ดู Google Map จุดดังกล่าว [13])
ภาพที่ 4 : ถ้าจะหาฉากช่วงสลายการชุมนุมที่คลาสสิคอย่างภาพยนตร์ ฉากนี้คงเป็นหนึ่งฉากที่ทั้งประทับใจ ลุ้นระทึกและสะเทือนใจ ผิดแต่ในภาพยนตร์นักแสดงไม่ตายจริง แต่ฉากนี้มีทั้งผู้ที่ตายและบาดเจ็บจริง ภาพผู้ชุมนุมพยายามเข้าช่วยเหลือถวิล คำมูล ที่ถูกยิงเวลาประมาณ 7.30 น. วันที่ 19 พ.ค.53 ตรงป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ ใกล้สี่แยกศาลาแดงถนนราชดำริ ถือเป็นศพแรกของวันนั้น โดยผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือหลายคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส(คลิกดูอัลบั้มภาพชุดเหตุการณ์ต่อเนื่องที่ “หงส์ศาลาแดง” [14] และคลิกดูภาพเคลื่อนไหว [15] ) และไม่มีใครนำร่างถวิลไปส่งโรงพยาบาลได้ จนกระทั่งถูกหน่วยกู้ชีพที่มากับเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้ามาทางศาลลาแดงนำร่างไป พร้อมกับร่างของชายถอดเสื้อไม่ทราบชื่อที่นอนเสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะบริเวณเต๊นท์ใกล้ร่างของถวิล (คลิกอ่านเรื่องของชายไม่ทราบชื่อ [16]) โดยขณะเกิดเหตุทหารกำลังเข้าพื้นที่ดังกล่าวอย่างน้อย 2 ทาง คือ บริเวณแยกศาลาแดง ซึ่งอยู่ไม่ไกลไปทางด้านหลังป้ายแท็กซี่อัจฉริยะนั้น และทางด้านสวนลุมพินี ซึ่งอยู่ทางซ้ายของภาพ
ภาพเคลื่อนไหวขณะเข้าช่วยถวิลที่ถูกยิ่งบริเวณป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ
โดยในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 18 มี.ค.54 สุเทพ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ได้ชี้แจงต่อรัฐสภากรณีการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 19 พ.ค.53 ว่าชายดังกล่าวเสียชีวิตก่อนหน้าการปฏิบัติการของทหารเนื่องจากเลือดได้แห้งหมดแล้ว โดยนายสุเทพ ระบุว่า “.. มีคนเสียชีวิตจริงๆ 6 คน นับรวมคนที่เสียชีวิตมาก่อนตอนที่เราเข้าไปถึงตอน 7-8 โมงเช้า เห็นนอนอยู่แล้ว ที่ข้างเต๊นท์ที่สวนลุมพินีเลือดแห้งหมดแล้ว 2 คนด้วย.." (ดูวิดีโอคลิปอภิปรายดังกล่าวในนาทีที่ 1.25.12 ประกอบ [17])
สำหรับคดีของ ถวิล เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.56 ศาลมีคำสั่งว่า “เสียชีวิตด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะ วิถีกระสุนมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ยังไม่ทราบว่าใครลงมือ” (อ่านรายละเอียด [18])
และคดีของชายไม่ทราบชื่อ ศาลมีคำสั่งเมื่อ 17 ก.พ.57 ระบุว่า “ผู้ตายคือชายไทยไม่ทราบชื่อนามสกุล ถึงแก่ความตายที่ถนนราชดำริ หน้าอาคาร สก. รพ.จุฬาฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 เวลาประมาณ 10.00 น. เหตุและพฤติการณ์การตาย สืบเนื่องมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะทะลุเข้ากะโหลกศีรษะทำลายเนื้อสมอง ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนกำลังพลเข้ามาควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงมุ่งหน้าถนนราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำ” (อ่านรายละเอียด [19])
ศพของถวิล บริเวณ ป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ
ภาพชายไม่ทราบชื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเช้าวันที่ 19 พ.ค.53 ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ภาพที่ 5 (ดู Google Map จุดดังกล่าว [20])
ภาพที่ 5 : บริเวณหน้าคอนโดหน้าบ้านราชดำริ ถนนราชดำริ ภาพผู้ชุมนุมและอาสาสมัครพยายามช่วยเหลือนรินทร์ ศรีชมภู เสื้อขาวที่นอนอยู่ซึ่งถูกยิงเข้าที่ศีรษะ เสียชีวิตช่วงสายของวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งหนึ่งในอาสาสมัครที่เข้าช่วยเหลือนั้นคือมงคล เข็มทอง จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง คนในวงกลมสีขาว และเขาก็เผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับผู้มีจิตอาสาอย่าง มานะ แสนประเสริฐศรี, บุญทิ้ง ปานศิลา รวมไปถึงอาสาพยาบาลที่ต้องจบชีวิตไปพร้อมๆ กับเขา อย่าง กมนเกด อัคฮาด และอัครเดช ขันแก้ว มงคลถูกยิงเสียชีวิตช่วงเย็นของวันเดียวกันที่วัดปทุมฯ
สำหรับคดีของนรินทร์ เมื่อวันที่ 25 มี.ค.57 ศาลมีคำสั่งว่า “เหตุและพฤติการณ์แห่งการตาย สืบเนื่องมาจากถูกยิงบริเวณศรีษะ กระสุนปืนทำลายสมองด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง วิถีกระสุนปืนมาจากทางด้านเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ในการเข้าควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงมุ่งไปทางแยกราชดำริ ตามคำสั่งของ ศอฉ. โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ” (อ่านรายละเอียด [21])
ส่วนมงคล นั้นรวมอยู่ในคดี 6 ศพวัดปทุมฯ ซึ่งรวมถึงอาสาพยาบาลอย่าง กมนเกด และอัครเดช ด้วย โดยศาลมีคำสั่งเมื่อ 6 ส.ค.56 ระบุว่า “ผู้ตายทั้ง 6 เสียชีวิตเนื่องมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืนยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหารและบริเวณถนนพระรามที่ 1 ซึ่งเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.”
อีกทั้ง ภายหลังการอ่านคำสั่ง ศาลกล่าวสรุปประเด็นให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังด้วยว่า 1.เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานทหาร 2.ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีคราบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนมาก่อน 3.การตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมวนาราม ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจยึดจริง และ 4.กรณีชายชุดดำ ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว (อ่านรายละเอียด [22])
ภาพที่ 6
(ดู Google Map จุดดังกล่าว [23])
ภาพที่ 6 : ภาพฟาบิโอ โปเลงกิ ช่างภาพชาวอิตาลีที่ล้มลงหลังถูกยิง และมีช่างภาพพยายามช่วยเหลืออยู่ บริเวณถนนราชดำริ ขาเข้า ตรงข้ามอาคารบริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ไม่ห่างจากจุดที่นรินทร์ถูกยิงที่อยู่อีกฝั่งของถนน ช่วงเวลา 10.45 น. ของวันที่ 19 พ.ค. โดยลักษณะบาดแผลที่ฟาบิโอถูกยิงนั้นกระสุนปืนทะลุหัวใจ ปอดตับ เสียโลหิตปริมาณมาก บาดแผลที่ 1 ลักษณะทางเข้าทะลุหลังด้านขวา ผ่านช่องซี่โครงด้านหลังขวา ทะลุปอดขวากลีบล่าง เฉียดกำบังลมและเนื้อตับฉีกขาด ทะลุเยื้อหุ้มหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด ทิศทางจากหลังไปหน้า ขวาไปซ้าย ล่างขึ้นบนเล็กน้อย
ขณะที่ฟาบิโอถูกยิงได้วิ่งหลบกระสุนไปกับกลุ่มผู้ชุมนุมหันหลังให้แยกศาลาแดงซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่ทหารกำลังเข้ามาทางนั้น และฟาบิโอหันหน้าไปทางสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชดำริ คลิกดูภาพ(ภาพ 1 [24], ภาพ 2 [25])อีกมุมจาก Masaru Goto คนสวมหมวกเหลืองเสื้อแดงที่เข้าช่วยฟาบิโอ และภาพเคลื่อนไหวในเหตุการณ์จาก Bradley Cox ประมาณนาทีที่ 1.12 (คลิกดู [26])
สำหรับคดีฟาบิโอ เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 56 ศาลได้มีคำสั่งแล้วว่า “เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายสืบเนื่องมาจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืน เป็นเหตุให้เกิดบาดแผลกระสุนปืนทะลุหัวใจ ปอด ตับ เสียโลหิตปริมาณมาก โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ” (อ่านรายละเอียด [27])
ภาพที่ 7 (ดู Google Map จุดดังกล่าว [28])
ภาพที่ 7 : ภาพเหตุการณ์ช่วงเที่ยงคืนวันที่ 14 ต่อ 15 พ.ค.53 บริเวณแอร์พอร์ตลิงก์ราชปรารภในเหตุการณ์ทหารยิงสกัดรถตู้ นายสมร ไหมทอง ที่วิ่งเข้ามา ซึ่งถ่ายเป็นวิดีโอโดยนายคมสันต์ เอกทองมาก อดีตช่างภาพเนชั่นแชนเนล(Voice TV ได้มีการนำวีดีโอดังกล่าวมาเผยแพร่ในบางตอนด้วย สามารถคลิกดูได้ที่นี่ [29]) ในเหตุการณ์ดังกล่าวนอกจากนายสมรจะได้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บแล้ว ยังเป็นเหตุให้นายพัน คำกอง(คลิกอ่านคำสั่งศาล [30]) คนขับแท็กซี่ และ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ(คลิกอ่านคำสั่งศาล [31]) ที่อยู่บริเวณนั้นเสียชีวิตด้วย ซึ่งศาลได้มีคำสั่งแล้วว่าทั้งคู่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร
ภาพที่ 8 (ดู Google Map จุดดังกล่าว [32])
ภาพที่ 8 : บริเวณเสาเหล็กขาว-แดง หน้าไทยไพศาลเอนยีเนียริ่ง ถนนราชปรารภ เลยทางเข้าปั๊มเชลล์ประมาณ 10 เมตร ในภาพเป็นร่างของหน่วยแพทย์กู้ชีวิตวชิรพยาบาล วัย 25 ปี บุญทิ้ง ปานศิลา ที่ถูกยิงเข้าที่คอด้านซ้ายทำลายเส้นเลือดแดงใหญ่นอนเสียชีวิตจมกองเลือด เวลา 19.36 น. ของวันที่ 14 พ.ค.53 ขณะขับมอร์เตอร์ไซด์เพื่อเข้าไปช่วยผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคาดว่าเป็น กิตติพันธ์ ขันทอง(เสียชีวิตด้วย)
และวันรุ่งขึ้น(15 พ.ค.) รองผู้ว่า กทม. พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ [33] ออกมากล่าวถึงกรณีนี้ด้วยว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ยกมือขึ้นเพื่อบอกทหารว่าจะเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แต่ระหว่างนั้นมีคนวิ่งเข้าออกบริเวณดังกล่าว จึงเกิดความเข้าใจผิดขึ้น" (คลิก [34]ดูวิดีโอคลิปที่ถ่ายจากอีกฝั่งของถนน)
สำหรับคดีของบุญทิ้งและกิตติพันธ์ ยังไม่มีการไต่สวนการเสียชีวิต
ภาพ แม่ 'บุญทิ้ง-กิตติพันธ์' เหยื่อสลายชุมนุม 53 จุดเทียนรำลึกเพียงลำพังที่ราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.58 ที่ผ่านมา (อ่านรายละเอียด [35])
ภาพที่ 9 (ดู Google Map จุดดังกล่าว [36])
ภาพที่ 9 : ถูกถ่ายเมื่อเวลา 23.37 น. วันที่ 14 พ.ค.53 บริเวณปากซอยรางน้ำตัดกับถนนราชปรารภ ภาพรถกู้ชีพกำลังเข้าไปช่วยคนเจ็บที่อยู่บริเวณถัดไปไม่กี่เมตร (นอนเจ็บลำพังอยู่ปากซอยราชปรารภ 16) ซึ่งคนเจ็บคนดังกล่าวเสียชีวิตในเวลาต่อมา เขาคือ เหิน อ่อนสา โดยบาดแผลถูกกระสุนปืนลูกโดดเข้าบริเวณขาหนีบข้างซ้ายทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด และกระดูกต้นขาซ้ายหัก พบบาดแผลกระสุนปืนลูกโดดทางออกบริเวณด้านข้างของทิศทางจากหน้าไปหลัง ขวาไปซ้าย







