'ธรรมนัส' ยึดฟาร์มไก่ ยันไม่เข้าข่ายผิด กม. - อัยการฟ้อง 'ปารีณา' กับพวกคดี 'พ.ร.บ.ปืนฯ'
'ธรรมนัส' ยึดฟาร์มไก่ “ปารีณา” ยันไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เลขาฯ ส.ป.ก. เตรียมดำเนินการตามขั้นตอนรื้อถอน 7 วัน ยันไม่ได้เลือกปฏิบัติ อัยการฟ้อง 'ปารีณา' กับพวกคดี 'พ.ร.บ.ปืนฯ' นัดขึ้นศาล ม.ค.63 ‘วีระ’ ลุยคดีต่อ ลั่นพร้อมสู้ถ้ารัฐเลือกปฏิบัติ นักวิชาการชี้ปัญหาที่ดิน 'ปารีณา' สะท้อนเหลื่อมล้ำ
7 ธ.ค.2562 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (7 ธ.ค.62) เมื่อเวลา 13.30 น. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ผู้เคยเปรียบเทียบตัวเองเป็น “คนเลี้ยงลิง” ในการประสานงานนักการเมืองฝั่งรัฐบาล ลงพื้นที่ยึดที่ดินเขาสนฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มไก่ของ ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.จังหวัดราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ปารีณา ได้ส่งหนังสือลงวันที่ 6 ธ.ค.2562 วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เรื่อง ขอส่งคืนพื้นที่ตาม ภ.บ.ท.5 เพื่อข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร โดยสิ่งที่แนบมาด้วยคือ ภ.บ.ท.5 จำนวน 29 แปลง สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน โดยเนื้อหาของหนังสือฯแจ้งว่า
"ด้วยข้าพเจ้า น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ได้ใช้ประโยชน์ดินเพื่อเกษตรกรรมบริเวณ หมู่ 6 ตำบลรางบัว จังหวัดราชบุรี ข้าพเจ้าได้ยื่นชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) จำนวน 29 แปลง ซึ่งที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขต ส.ป.ก.
ข้าพเจ้ามีความประสงค์ขอคืนพื้นที่ ตาม ภ.บ.ท.5 ดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยข้าพเจ้าและ/หรือบุคคลในครอบครัว ขอสงวนใช้สิทธิเป็นอันดับแรกตามกฎหมาย และยินดีเข้าให้ถ้อยคำและให้ความร่วมมือกับทางสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมทุกประการ"
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า หลังจากนี้ ปารีณาจะไม่สามารถเข้าใช้พื้นที่นี้ได้อีกต่อไป โดยจะให้เวลาขนของออก 7 วันนับจากวันนี้ ส่วนโรงเรือนเสาไฟฟ้าปักที่โรงไก่ สิ่งก่อสร้างต้องรื้อทั้งหมด และยืนยันว่าได้ทำงานเร็วที่สุดแล้ว ส่วนการดำเนินคดี กรณีพื้นที่ของปารีณา ส.ป.ก.ไม่มีการดำเนินคดี เนื่องจากครอบครองมาก่อนที่จะมีกฎหมายปฏิรูปที่ดิน เมื่อตรวจสอบแล้วผู้ครอบครองได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ดังนั้น เมื่อปารีณาส่งมอบคืนให้รัฐ จึงไม่สามารถเอาผิดได้ ต้องดูที่เจตนา โดยก่อนหน้านี้ปารีณาทำหนังสือขอแสดงเจตนารมณ์เข้าสู่กระบวนการโครงการปฏิรูปที่ดินของ ส.ป.ก. จึงได้ส่งคืนพื้นที่ ทำจดหมายมาถึงเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.62) ที่ผ่านมา 682 กว่าไร่ ยินดีที่จะส่งมอบคืนรัฐทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการเข้ายึดพื้นที่ดินเแปลงนี้ได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมาย เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น หากเข้าข่ายมีเจตนาไม่คืนพื้นที่คืนรัฐก็สามารถใช้อำนาจมาตรา 44 ได้ทันที
ต่อคำถามที่ว่า ก่อนหน้านี้ที่ได้รับรายงาน 1,706 ไร่นั้น รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับ ส.ป.ก. ซึ่งได้ทำการรังวัด ซึ่งเฉพาะพื้นที่ของ ส.ป.ก. พบว่ามีทั้งสิ้น 678 ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่ของกรมป่าไม้ ซึ่งในจำนวน 46 กว่าไร่ ได้ยึดคืนพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะนำที่ดินในเขต ส.ป.ก. กระจายให้กับเกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกินและมีคุณสมบัติเป็นเกษตรกรตัวจริง ไม่เกินรายละ 50 ไร่ ตามความเหมาะสม ซึ่งมีบางส่วนจัดสรรให้ชาวบ้านไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ( ส.ป.ก.) เปิดเผยว่า ส.ป.ก.ยังคงดำเนินการตามขั้นตอนรื้อถอน 7 วัน โดยให้ปารีณาคืนที่ดินที่ครอบครองและทำประโยชน์ทั้งหมดให้ ส.ป.ก.นำมาดำเนินปฏิรูปที่ดินนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ (วันนี้ 7 ธ.ค.) ซึ่ง ส.ป.ก.จะนำที่ดินไปจัดให้แก่เกษตรกรตามนโยบายจัดที่ทำกินชุมชนของรัฐบาล (คทช.) ต่อไป
“ผมไม่ได้เลือกปฏิบัติ และทำตามหน้าที่ ตามขั้นตอน ตั้งแต่ทำงานมาเรายึดกฎหมายพื้นที่ ส.ป.ก. เมื่อคืนให้รัฐเราต้องมาแบ่งสรรให้เกษตรกร ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้ว” เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าว
‘วีระ’ ลุยคดีต่อ ลั่นพร้อมสู้ถ้ารัฐเลือกปฏิบัติ
วันเดียวกัน วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น( คปต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กแฟนเพจ 'Veera Somkwamkid [1]' ระบุว่า ขอยืนยันว่า ที่ดินทั้งหมดที่ ทวี ไกรคุปต์ และ ปารีณา ไกรคุปต์ บุกรุกครอบครอง ทั้งบริเวณหมู่ที่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี และบริเวณหมู่ที่ 9 ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมดยังเป็นของรัฐตามคำพิพากษาฎีกาที่ 15189/2558 และ 14487/2558 และตามกฏหมายให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้และเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. เป็นผู้ดูแลรักษาพื้นที่และเป็นผู้รักษากฏหมาย เพื่อเอาผิดกับบุคคลใดก็ตามที่เข้ามาบุกรุก ครอบครองที่ดินของรัฐ(ที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่ป่าไม้ และที่ส.ป.ก.)
ดังนั้นทั้งเจ้าหน้าที่ป่าไม้และเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. ต่างกระทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชน ความผิดดังกล่าวสำเร็จแล้วมานานหลายปี เพราะปล่อยปละละเลย ไม่เข้าไปจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานบุกรุก ครอบครอง ที่ดินของรัฐ เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐทำธุรกิจจนร่ำรวยมานานหลายสิบปี ที่สำคัญทำให้สภาพป่าสงวนแห่งชาติและป่าไม้ถูกทำลายอย่างย่อยยับจำนวนนับพันไร่
ทั้งหมดได้ปรากฎต่อสายตาประชาชนทั้งประเทศแล้ว หากผู้กระทำความผิด ผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิด ต่างลอยนวล ไม่ต้องได้รับโทษ ต่อไปบ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไร เมื่อคนในชาติเห็นว่ากฏหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนจะไม่เคารพกฏหมายกันอีกต่อไป ไม่เกรงกลัวความผิด จะมีคนลุกขึ้นมากระทำความผิด ละเมิดกฏหมายบ้านเมืองกันมากมาย โดยอ้างว่ากรณีนี้ยังทำได้ เขาก็ต้องทำได้ จะกลายเป็นบรรทัดฐานที่ผิด เกิดเป็นกลียุค ทำลายชาติบ้านเมืองในที่สุด ผมไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่จะต้องเดือดร้อน เสียหาย หากบ้านเมืองเข้าสู่กลียุค
กรณีนี้ได้แจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรจอมบึง ตามเลขคดีอาญาที่ 448/2562 และแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสวนผึ้ง ตามเลขคดีอาญาที่ 419/2562 เพื่อให้ดำเนินคดีอาญาจนถึงที่สุด กับเจ้าหน้าป่าไม้และเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. ทุกคน ที่กระทำความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157
"ผมจะติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด หากมีอำนาจรัฐเข้ามายุ่งเหยิงในคดี ทำให้กฏหมายถูกเลือกปฏิบัติ คนทำผิดลอยนวล หากเป็นเช่นนั้นจริงผมบอกได้คำเดียว บ้านเมืองลุกเป็นไฟแน่ ประชาชนไม่ยอมพวกคุณแน่ และเชื่อว่าประชาชนที่รักความเป็นธรรมจำนวนมาก คงไม่ปล่อยให้ผมสู้อย่างโดดเดี่ยว เตรียมตัวไว้ครับสำหรับผู้ที่จะร่วมกันล้างบ้านล้างเมือง เมื่อถึงเวลาผมจะนำลุยเองครับ" วีระ โพสต์ทิ้งท้าย
อัยการฟ้อง 'ปารีณา' กับพวกคดี 'พ.ร.บ.ปืนฯ' นัดขึ้นศาล ม.ค.63
ขณะที่วานนี้ (6 ธ.ค.62) สืบเนื่องจากวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 4 ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง สัชญา สถิรพงษะสุทธิ หรือ "ขวัญ" อายุ 44 ปี และปารีณา ไกรคุปต์ อายุ 43 ปี ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ประเภทปืนกลเล็ก และกระสุนชนิดระเบิดเจาะเกราะซึ่งไม่ใช่ชนิดและขนาดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ โดยมีไว้ในครอบครอง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7,8 ทวิ , 55 , 72 ,72 ทวิ , 78 พ.ร.บ.อาวุธปืน วัตถุระเบิด และสิ่งเทียมอาวุธปืนฯ พ.ศ.2522 มาตรา 6 และฉบับ พ.ศ.2530 มาตรา 3 พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15,42 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 , 140 , 371
โดยคำฟ้องระบุถึงพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยเป็นพลเรือน ร่วมกับพวกอีก 1 คนที่เป็นพลเรือนซึ่งยังหลบหนี ได้ร่วมกันมีอาวุธปืน วัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะแต่การสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ อันเป็นความผิดที่เหตุพิเศษเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรื่องให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม โดยระหว่างวันที่ 29 พ.ค.-15 ก.ค.57 จำเลยกับพวกที่หลบหนี ร่วมกันมีอาวุธปืนกลเล็ก พร้อมซองกระสุนปืน 1 อัน ซึ่งเป็นลูกกระสุนระเบิดยิงชนิดระเบิดเจาะเกราะ จำนวน 19 นัด อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะแต่การสงครามซึ่งไม่ใช่ประเภท ชนิด และขนาดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 11 (พ.ศ.2522) ข้อ 2,3 ออกตามความใน พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย
ขณะที่วันที่ 15 ก.ค.57 ซึ่งเป็นวัน-เวลาที่อยู่ในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร จำเลยร่วมกับพวกที่หลบหนี มีกล้องส่องเวลากลางคืนจำนวน 1 ชุด , เสื้อเกราะกันกระสุนจำนวน 1 ตัว และหมวกเกราะกันกระสุน จำนวน 1 ใบ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากปลัดกระทรวงกลาโหม และจำเลยยังพาอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .38 SUPER เครื่องหมายทะเบียน กท 4507271 จำนวน 1 กระบอกซึ่งเป็นอาวุธปืนของจำเลยที่ได้รับอนุญาตให้มีได้โดยชอบด้วยกฎหมาย กับกระสุนปืนออโตเมติกจำนวน 31 นัด และอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์กับกระสุนปืนลูกกรดจำนวน 8 นัด ติดตัวไปในซอยสมคิด ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาตให้พกพา เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ อันเป็นเขตที่อยู่ในอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.3041/2562 และกำหนดนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 27 ม.ค.63 เวลา 09.00 น.
สำหรับกรณีดังกล่าวเป็นการโอนคดีฟ้องมาจากศาลทหารกรุงเทพ โดย สัชญา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 16 ก.ค.57 ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกหลังการยึดอำนาจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล จับกุม สัชญา ได้พร้อมอาวุธปืนสงครามและเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง
นักวิชาการชี้ปัญหาที่ดิน 'ปารีณา' สะท้อนเหลื่อมล้ำ
7 ธ.ค.62 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือข่ายภาคสังคมจัดเสวนาหัวข้อ “ผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาลประยุทธ์” และ “จากปารีณา 1,700 ถึงปัญหาที่ดินของคนจน : ข้อเสนอและทางออก” โดย ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มองว่า กรณีที่ ส.ป.ก ทำหนังสืออย่างเป็นทางการให้ ปารีณา ให้คืนที่ดินจำนวน 682 ไร่ บริเวณฟาร์มไก่ เขาสนฟาร์ม ภายใน 7 วัน หากไม่ยอมคืนจะใช้คำสั่งตามม.44 ยึดคืนทันที แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการเลือกปฎิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ระหว่างคนรายกับคนจน หากเป็นชาวบ้านไม่ได้รับโอกาสและอภิสิทธิ์เช่นนี้
โดยยกกรณีเปรียบเทียบกับชาวบ้าน ในพื้นที่บ้านจัดระเบียบ ต.หลุบเลา อ.ภูพาน จ.สกลนคร ที่ถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนจำนวน 54 ไร่ และถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 5 ปี เมื่อปี 2558 จนถึงขณะนี้ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ทั้งที่ความเป็นจริงชาวบ้านคนดังกล่าว มีพื้นที่ทำกินเพียง 4 ไร่ และถูกดำเนินคดีโดยไม่มีการรังวัดที่ดินใหม่ แม้ชาวบ้านร้องขอให้มีการรังวัดไปแล้วถึง 3 ครั้ง ซึ่งในพื้นที่หมู่บ้านเดียวกันถูกดำเนินคดีตัดสินจำคุกไปถึง 29 ราย ขณะที่กรณี นางสาวปารัณา ร้องขอให้มีการรังวัดที่ดินเพียงครั้งเดียว ก็มีการดำเนินการทันที
“ทางออกของปัญหาในระยะเร่งด่วน เจ้าหน้าที่รัฐต้องมีแนวทางปฎิบัติที่ชัดเจน และดำเนินนโยบายทวงคืนผืนป่าโดยไม่กระทบคนจน ส่วนการแก้ปัญหาในระยะยาว ควรมีการพิสูจน์สถานะของพื้นที่ป่าไม้ถาวรและป่าไม้ของชาติ ตามมติ ครม. 14 พ.ย.2504 เพื่อให้ความเป็นธรรมว่ามีการอยู่มาก่อนประกาศพื้นที่ป่าหรือไม่ ต้องมีการปฎิรูปที่ดินที่แท้จริง ไม่ใช่การเอาพื้นที่ป่าสงวนมาทำเป็นพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน และสุดท้ายนโยบายทวงคืนผืนป่า ควรยกเลิกให้ทหารเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการ เนื่องจากมักมีการใช้ความรุนแรง แต่ควรเป็นการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ป่าไม้-อุทยานฯ และควรมีฝ่ายปกครองเข้าร่วมแก้ปัญหาด้วย” ไชยณรงค์ กล่าว
เรียบเรียงจาก : สำนักข่าวไทย [2] เดลินิวส์ [3] เฟสบุ๊กแฟนเพจ 'Veera Somkwamkid [1]' และประชาชาติ [4]