30 ก.ค. 2564 เมื่อวานนี้ (29 ก.ค. 2564) รัฐบาลต่างประเทศประกาศบริจาควัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่ประเทศไทยพร้อมกันถึง 3 ราย ได้แก่ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และสหพันธรัฐสวิส อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแค่ 3 ประเทศที่ประสงค์บริจาควัคซีนเพื่อช่วยเหลือประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปได้ แม้ว่าอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสาธารณสุขจะเคยกล่าวไว้ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2564 ว่า "ในไตรมาส 3 วัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทยจะอยู่เต็มโรงพยาบาล อยู่เต็มแขนของพี่น้องประชาชนคนไทยแล้ว"

ด้วยเหตุนี้ ประชาไทจึงรวบรวมข้อมูลว่าหลังจากที่อนุทินลั่นวาจาไปในวันดังกล่าว หลังจากนั้นแล้ว รัฐบาลไทยได้ "รับบริจาค" วัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์จากประเทศใดบ้าง

วานนี้ (29 ก.ค. 2564) อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวแสดงความยินดีและขอบคุณรัฐบาลอังกฤษที่บริจาควัคซีนแอสตราเซเนกาให้ประเทศไทยจำนวน 415,000 โดส พร้อมให้คำมั่นว่ารัฐบาลไทยจะดำเนินการตามแผนกระจายวัคซีนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน บรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค และนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็วที่สุด

พร้อมกันนี้ ในวันเดียวกัน ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ ส.ว.สหรัฐฯ เชื้อสายไทยจากพรรคเดโมแครตกล่าวว่าสหรัฐฯ จะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ให้ประเทศไทยรวม 2.5 ล้านโดส โดยจัดส่งมาก่อนล็อตแรก 1.5 ล้านโดส ต่อมา สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก U.S. Embassy Bangkok [1] ยืนยันว่าทางการสหรัฐฯ จะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ให้ไทยจำนวน 2.5 ล้านโดสจริง

นอกจากนี้ ช่วงเช้ามืดวันเดียวกัน อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยให้การต้อนรับ เฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (Helene Budliger Artieda) เอกอัครราชทูตสวิสเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ในโอกาสที่รัฐบาลประเทศสวิสเซอร์แลนด์บริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับรัฐบาลไทย ซึ่งประกอบด้วยชุดตรวจโควิด-19 ชนิด Rapid Antigent Test Kits จำนวน 1.1 ล้านชุด และเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่อง มูลค่า 9 ล้านฟรังก์สวิส หรือประมาณ 294 ล้านบาท