Published on ประชาไท Prachatai.com (https://prachatai.com)

Home > รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ขายชาติผ่านอสังหาริมทรัพย์ > รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ขายชาติผ่านอสังหาริมทรัพย์

รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ขายชาติผ่านอสังหาริมทรัพย์

Submitted by sarayut on Fri, 2022-05-13 23:11

โสภณ พรโชคชัย

 

เป็นเรื่องสุดเหลือเชื่อที่รัฐบาลสิงคโปร์ รักชาติ รักประชาชนมากจริงๆ โดยพิจารณาได้จากระบบอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งคุ้มครองประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ใช่นายทุน

สิงคโปร์ถือเป็นประเทศ “ร้อยพ่อพันแม่” ที่ประกอบด้วยกลุ่มคนจีน 74% มาเลย์ 14% อินเดีย 9% และอื่นๆ ถ้าพิจารณาในแง่ศาสนา เป็นคนพุทธ 31% คริสต์ 19% มุสลิม 16% ลัทธิเต๋า 9% ฮินดู 5% และยังมีผู้ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ อีก 20%  แต่กลุ่มชนที่แตกต่างกันมากมายนี้ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ เพราะเขาไม่ให้มีการตั้งหมู่บ้านพุทธ  หมู่บ้านคริสต์ หมู่บ้านมุสลิม หรือหมู่บ้านแขกฮินดูใดๆ ทั้งสิ้น

ที่อยู่อาศัยถึง 80% สร้างโดยการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งส่วนมากเป็นอาคารชุด  ทางราชการสิงคโปร์กำหนดไว้ชัดเจนว่า ห้องชุดแต่ละห้องจะต้องมีการจับฉลากให้เข้าอยู่ รัฐบาลไม่ยอมให้คนศาสนาเดียวกัน ชาติพันธุ์เดียวกันอยู่รวมกันในชั้นเดียวกัน ซอยเดียวกัน หรือหมู่บ้านเดียวกันอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการรวมกลุ่มตามเชื้อชาติ ศาสนาและอาจพาลไปกีดกันชนชาติหรือคนต่างศาสนา

ในด้านการซื้ออสังหาริมทรัพย์

1. คนที่ไม่เคยมีบ้านและซื้อบ้านหลังแรก ไม่ต้องเสียภาษีเลย  แต่ถ้าใครซื้อบ้านหลังที่สองเพื่อการลงทุนหรือเหตุผลใดๆ ก็ตามต้องเสียภาษีถึง 17% เช่น ห้องชุดห้องหนึ่งราคา 20 ล้านบาท ต้องเสียภาษีเข้าหลวง 3.4 ล้านบาท (12%) เพื่อนำเงินมาพัฒนาประเทศ ดังนั้นผู้ซื้อต้องจ่ายรวม 23.4 ล้านบาท สำหรับบ้านราคา 20 ล้านบาท  ยิ่งถ้าใครซื้อเป็นบ้านหลังที่ 3 ขึ้นไป ก็ต้องเสียภาษีถึง 25%

2. คนต่างด้าวที่มีถิ่นพำนักถาวรในสิงคโปร์ ต้องเสียภาษี 5% สำหรับการซื้อบ้านหลังแรก สำหรับบ้านหลังที่ 2 เสีย 25% และหลังถัดๆ ไปต้องเสีย 30% ทั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า สิงคโปร์เห็นแก่ประชาชนชาวสิงคโปร์ก่อนคนชาติอื่น

3. ในกรณีชาวต่างประเทศที่มาซื้อบ้านหรือห้องชุดในสิงคโปร์ ต้องเสียภาษี 30% แต่ของไทยแทบไม่เก็บเลย การที่สิงคโปร์เก็บก็เพื่อป้องกันการมาเก็งกำไรของชาวต่างชาติ ซึ่งแม้จะเป็นผลดีต่อผู้พัฒนาที่ดินในชั้นแรก แต่อาจเป็นผลเสียต่อประเทศชาติในระยะยาว

4. ถ้าซื้อในนามบริษัทต่างชาติ ก็ต้องเสียภาษีในอัตรา 35%

5. ในกรณีบริษัทพัฒนาที่ดินที่มาซื้อที่ดินในสิงคโปร์ (อันที่จริงคงเป็นการเซ้งระยะยาว 99 ปี) จากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาที่ดินสิงคโปร์หรือนักพัฒนาที่ดินต่างชาติ ต้องเสียภาษีสูงถึง 40% รัฐบาลจะได้นำเงินไปพัฒนาประเทศ จะสังเกตได้ว่ารัฐบาลสิงคโปร์ไม่กลัวว่านักพัฒนาที่ดินจะอ้างว่าจะผลักภาระภาษีให้ประชาชน แต่รัฐบาลของเขาเก็บภาษีมาพัฒนาประเทศก่อนเลย (https://bit.ly/3KisRL5 [1])

การเป็นนักพัฒนาที่ดินในสิงคโปร์ต้องได้รับในอนุญาต ไม่ใช่ตั้งบริษัทขึ้นมาลอยๆ และแต่ละโครงการที่พัฒนาก็ต้องได้รับใบอนุญาตเช่นกัน ที่สำคัญนักพัฒนาที่ดินจะต้องมีหนังสือค้ำประกันของธนาคารเป็นจำนวนเงินอย่างน้อย 140% ของต้นทุนการก่อสร้างโครงการทั้งหมด พร้อมใบรับรองของต้นทุนการก่อสร้างทั้งหมดโดยสถาปนิกที่รับผิดชอบโครงการ เผื่อว่าโครงการนั้นๆ ประสบปัญหา จะได้มีเงินทุนมาก่อสร้างต่อเพื่อผู้บริโภคนั่นเอง

สำหรับกรณีนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ คนที่จะทำอาชีพนายหน้า ต้องมีใบอนุญาตประกอบอาชีพ ไม่ใช่ใครก็เป็นนายหน้าได้  เริ่มต้นจะต้องสมัครเป็น “พนักงานขาย” (Salespersons) ก่อน โดยจะต้อง

1. มีอายุ 21 ปีขึ้นไป

2. จะต้องเป็นชาวสิงคโปร์หรือเป็นผู้มีถิ่นพำนักในสิงคโปร์เป็นเวลา 10 ปีขึ้นไป

3. เรียนจบชั้นมัธยมต้น (4 GCE ‘O’ Level)

4. ผ่านการสอบอาชีพ “พนักงานขาย” ที่จัดโดยคณะกรรมการควบคุมอาชีพนายหน้า (Council of Estate Agents) ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ (ไม่ใช่ให้สมาคมทดสอบเอง) ไม่เกิน 2 ปี

5. ต้องทำงานนายหน้าที่เดียว (ไม่อนุญาตให้ทำธุรกิจนี้มากกว่า 1 บริษัท)

6. ไม่ใช่ “ผู้ให้กู้เงิน” (Moneylender) ที่ได้รับอนุญาตหรือพนักงานที่เกี่ยวข้อง

ส่วนในกรณีที่จะขออนุญาตเป็นผู้บริหารบริษัทนายหน้า (Key Executive Officer – KEO) ก็มีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่ต้องมีคุณสมบัติเพิ่มคือ ต้องมีบันทึกการเป็นนายหน้าสำเร็จมาแล้ว 30 รายในรอบ 3 ปี และเป็นผู้บริหารบริษัทมาแล้ว 3 ปี นายหน้าในสิงคโปร์จึงเรียกว่า Salesperson ส่วนบริษัทนายหน้าเรียกว่า Estate Agents เขาไม่ใช้คำว่า Brokers เพราะฟังดูคล้ายคำว่า Broke (ล้มละลาย) บริษัทนายหน้าจะต้องไปจดทะเบียนกับ องค์กรกำกับดูแลการบัญชีและองค์กร (Accounting and Corporate Regulatory Authority) ของรัฐบาลสิงคโปร์ และบริษัทนายหน้าต้องไม่ทำอาชีพให้กู้เงินเช่นกัน

สำหรับความรู้ของผู้เป็นนายหน้าบุคคล (Salesperson) ที่ต้องผ่านการสอบประกอบด้วยความรู้เรื่องตลาดอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ การเงินอสังหาริมทรัพย์ การทำธุรกิจนายหน้า การโอนทรัพย์สิน เป็นต้น  ส่วนผู้ที่จะเป็นบริษัทนายหน้า (Agents) ก็ต้องมีความรู้ในด้านการบริหารจัดการองค์กร การขายและการตลาด เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบริหารบริษัทให้ยั่งยืนได้ และก็ต้องผ่านการสอบเช่นกัน  การสอบเป็นนายหน้าบุคคล จะต้องเสียค่าสมัครเป็นเงินประมาณ 10,000 บาทต่อคน (https://bit.ly/3LHdsE4 [2]) และสำหรับในปี 2565 นี้ รอบการสอบแรกมีผู้สมัครครบ 3,000 คนแล้ว ใครสนใจสมัครก็ต้องรอไปรอบหน้า

การเป็นนายหน้านั้นจะต้องมีการประกันทางวิชาชีพ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค หากนายหน้ากระทำผิดโดยประมาท ทำให้ผู้บริโภคเสียหาย ก็ต้องมีบริษัทประกันมาชดใช้  นายหน้ามีหน้าที่ต้องซื้อประกันทางวิชาชีพเพื่อคุ้มครองในวงเงินประมาณ 1 แสนถึง 1 ล้านเหรียญสิงค์โปร์ (2.4 - 24 ล้านบาท) (https://bit.ly/3r9pC0Q [3]) ในประเทศไทยนายหน้าก็ควรมีระบบประกันทางวิชาชีพเช่นกัน

เมื่อมีการถือครองอสังหาริมทรัพย์ แต่ละปีผู้ถือครองก็ต้องเสียภาษี โดยผู้ที่ถือครองทรัพย์สินทั้งนี้เพื่อสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้ที่ถือครองที่อยู่อาศัยราคาแพงกว่า ก็ต้องเสียภาษีมากกว่า ผู้ที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ เข่น โรงแรม สำนักงาน ศูนย์การค้าก็เสียภาษีมากกว่าที่อยู่อาศัย ที่ดินเปล่า ก็ต้องเสียภาษีเช่นกัน จะแสร้งมาปลูกต้นไม้ให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมแล้วออกระเบียบว่าให้เก็บภาษีต่ำๆ แบบที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ย่อมเป็นไปไม่ได้ในสิงคโปร์

การเก็บภาษีคนที่รวยๆ กว่าทั้งในแง่การถือครองทรัพย์สินและการมีรายได้สูง (ซึ่งยังรวมถึงภาษีรายได้ส่วนบุคคล) ก็จะทำให้ประเทศชาติมีเงินเพียงพอที่จะส่งเสริมให้ผู้ที่เสียเปรียบในสังคมได้สามารถ “ลืมตาอ้าปาก” ขึ้นมาบ้าง  การแตกแยกก่อการร้ายหรือทำร้ายสังคมในรูปแบบต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไปด้วย  สังคมก็จะน่าอยู่กว่าการเป็น “บ้านป่าเมืองเถื่อน” หรือการอยู่ในสังคมแบบ “มือใครยาว สาวได้สาวเอา”

มีอยู่ครั้งหนึ่งลีกวนยิวและครอบครัวแค่ซื้อห้องชุดสุดหรูใจกลางเมืองโดยได้ส่วนลด 5-12% (https://bit.ly/1NhRTqv [4]) ก็ถูกสื่อถล่มหนัก (เพียงแต่ไม่ได้ด่าหยาบคายเช่นสื่อไทย) สิงคโปร์ได้รับการพิสูจน์ชัดว่าเป็นประเทศที่แทบจะไร้ทุจริต มีความโปร่งใสติดอันดับสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก ความสุจริตเกิดขึ้นได้ในสมัยประชาธิปไตยที่โปร่งใสเท่านั้น ไม่อาจเกิดขึ้นในยุคเผด็จการทรราช เช่น สฤษดิ์ มากอส ซูฮาร์โต ที่เราเคยเห็น

สิงคโปร์จึงเป็นประเทศที่ใช้ระบบอสังหาริมทรัพย์มาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริงประเทศหนึ่ง

 

ที่มาภาพ: Photo by Jahoo Clouseau from Pexels: https://www.pexels.com/photo/photography-of-city-during-dusk-867092/ [5]

บทความ [6]
การเมือง [7]
เศรษฐกิจ [8]
ต่างประเทศ [9]
สิงคโปร์ [10]
อสังหาริมทรัพย์ [11]
โสภณ พรโชคชัย [12]
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

Source URL: https://prachatai.com/journal/2022/05/98595

Links
[1] https://bit.ly/3KisRL5
[2] https://bit.ly/3LHdsE4
[3] https://bit.ly/3r9pC0Q
[4] https://bit.ly/1NhRTqv
[5] https://www.pexels.com/photo/photography-of-city-during-dusk-867092/
[6] https://prachatai.com/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1
[7] https://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87
[8] https://prachatai.com/category/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88
[9] https://prachatai.com/category/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8
[10] https://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%8C
[11] https://prachatai.com/category/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C
[12] https://prachatai.com/category/%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%93-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2