ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตา ปรานีเสมอ ขอความสันติ จงมีแด่ศาสดามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่าน และสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
ปัจจุบันมีใบปลิวมากมายกระจาย 3-4 จังหวัดชายแดนใต้ให้ประชาชนหยุดทำงานวันศุกร์โดยดึงเหตุผลศาสาอิสลามมาประกอบ หากใครไม่ปฏิบัติจะถูกข่มขู่เรื่องความปลอดภัย ความเป็นจริงศาสนาอิสลามมีทัศนะเกี่ยวกับการประกอบศาสนกิจและทำงานวันศุกร์ดังนี้
อัลลอฮฺได้ดำรัสในคัมภีร์กุรอานความว่า
"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อได้ยินเสียงเชิญชวนการทำละหมาดวันศุกร์ (อะซาน) ก็จงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮฺ และจงละทิ้งการค้าขายเสีย นั้นเป็นการดีสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้ เมื่อการละหมาดได้สิ้นสุดลงแล้ว ก็จงแยกย้ายกันไปตามแผ่นดิน และจงแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺและจงรำลึกถึงพระองค์มากๆ เพื่อเจ้าจะประสบความสำเร็จ และเมื่อพวกเขาได้เห็นการค้าขายและการละเล่น พวกเขาก็กรูกันไปที่นั้นและปล่อยเจ้า (ศาสดามุฮัมมัด)ยืนอยู่คนเดียว จงกล่าวเถิด โอ้ศาสดามุฮัมมัด สิ่งที่มีอยู่ ณ อัลลอฮฺนั้นดีกว่าการละเล่นและการค้าและอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นเลิศในหมู่ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ" อัลกุรอาน 62 : 10-12 )
จากพระดำรัสของอัลลอฮฺได้ชี้แจงให้เราทราบว่า
1. การละหมาดวันศุกร์เป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทุกคน (ที่มีเงื่อนไขครบ) จะต้องละหมาดที่มัสยิดของชุมชน (อยู่ระหว่างเวลาประมาณ 12.15-13.15) ไม่อนุญาตให้ประกอบอาชีพใดและกระทำสิ่งใดนอกจากศาสนกิจดังกล่าวด้วยความตั้งใจและจิตใจทีบริสุทธิเท่านั้น
2. เมื่อถึงเวลาละหมาดวันศุกร์ทุกคนจะต้องละทิ้งทุกกิจกรรมแต่จะต้องไปประกอบศาสนกิจทันทีเพราะการประกอบศาสนกิจดังกล่าวดีกว่าทุกกิจกรรม
"ในโองการนี้มีภูมิหลังการประทานโองการของพระเจ้าต่อศาสดามุฮัมมัดว่า ในขณะที่ท่านศาสดากำลังให้ธรรมเทศนาก่อนละหมาดนั้นจู่ๆมีกองคาราวานสินค้าบรรทุกเครื่องบริโภคของชายผู้หนึ่งผู้มีนามว่า ดะฮียะฮฺ อัลกัลบีย์ มาจากประเทศซีเรีย กอร์ปกับชาวเมืองมะดีนะฮฺขณะนั้นประสบความหิวโหยและเครื่องบริโภคมีราคาแพง ทำให้ชาวเมืองที่กำลังฟังธรรมเทศนาได้วิ่งกรูไปที่คาราวานสินค้าด้วยความเคยชินเหมือนวันปกติ ปล่อยท่านศาสดาแสดงธรรมเทศนาและเหลือผู้ร่วมฟังเพียง 12 คน ดังนั้นอัลลอฮฺจึงประทานโองการนี้เพื่อตักเตือนอัครสาวกศาสดาต่อพฤติกรรมหลงผิดดังกล่าวและเปรียบเทียบ การละหมาดและระลึกถึงพระองค์นั้นนั้นดีกว่าการละเล่นและการค้าเพราะระองค์นั้นเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่แท้จริง" โปรดดู al-Zuhaili, Wahbah .1991 : al-Tafsir al-Munir.Berut : Dar alfikr al-Muasorah. 22/195-196
3. เมื่อเสร็จการปฏิบัติศาสนกิจดังกล่าวทุกคนมีสิทธิที่จะออกไปประกอบอาชีพที่สุจริต
4. ไม่เพียงเท่านั้นมุสลิมจะต้องละหมาดทุกวันวันละ 5 เวลา (ประมาณ เวลาละ 5-10 นาที ณ ที่ใดก็ได้)เพราะฉะนั้นการปฏิบัติศาสนกิจจึงมิได้เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพเพียงแต่ในวันศุกร์มุสลิมจะต้องใช้เวลามากหน่อยในการประกอบศาสนกิจและจะต้องทำที่มัสยิดของชุมชนเท่านั้นดังนั้นเราจะเห็นว่าในชุมชนมุสลิมโดยเฉพาะมัสยิดกลางปัตตานี ยะลา และนราธิวาสเต็มไปด้วยข้าราชการ นักธุรกิจ ชาวบ้านและคนทุกสาขาอาชีพไปร่วมละหมาดแต่ที่เป็นปัญหาสักหน่อยคือข้าราชการมุสลิมเขาต้องรีบออกจากที่ทำงานเพื่อประกอบศาสนกิจก่อนเวลา12.00น. และรีบออกจากมัสยิดให้ทันที่ทำงานก่อนเวลา 13.00 น ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับข้าราชการมุสลิมที่จะสามารถทำงานเต็มเวลา (8.30-12.00น.และ13.00-16.30น.เพราะการละหมาดวันศุกร์ 12.15-13.15น.) การหยุดราชการในวันศุกร์จึงเป็นเพียงทางออกหนึ่งในชุมชนมุสลิมเท่านั้นในการแก้ปัญหาการประกอบศาสนกิจแต่อีกหลายปัญหาที่เป็นเชิงระบบในการบริหารแผ่นดินทั่วประเทศที่มีความสัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายของคน 3 จังหวัดกับทั่วประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องผ่านขบวนการเรียนรู้ ประชุม ปรึกษาหารือของชุมชนโดยเฉพาะพยายามใช้คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติมากที่สุดในเรื่องนี้และทุกเรื่องเกี่ยวกับภาคใต้เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีแนวคิดแนวสันติให้การยอมรับ
ที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่ของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจอยู่แล้วยิ่งเพิ่มปัญหาเข้าไปอีก
โดย อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ดินอะ(อับดุลสุโก ดินอะ)
นักศึกษาปริญญาเอก(ศาสนาเปรียบเทียบ) มหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติมาเลเซีย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)