"พวกที่มาเรียกร้องเรื่องเอฟทีเอต้องมองไปข้างหน้า ถ้าเราแข่งขันในสหรัฐเรายังทำไม่ได้ เราก็จะขาดดุลการค้า เงินก็จะไหลออก สหรัฐฯ ประเทศเดียวเราได้ดุลการค้ามโหฬาร" นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรพูดถึง กรณีที่เครือข่ายองค์ประชาชนกว่า 10 เครือข่ายร่วมหมื่นคนที่มารวมตัวกันที่จ.เชียงใหม่เพื่อคัดค้านการเจรจาทำเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ รอบที่ 6
คำพูดของนายกฯ ทำให้นึกถึงเมื่อคราวที่ไทยทำเขตการค้าเสรีกับประเทศยักษ์ใหญ่อีกประเทศหนึ่งคือประเทศจีน โดยครั้งนั้น นายกฯ ก็บอกว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศจีนอย่างมหาศาล เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่ แต่สุดท้ายผลการศึกษาของกลุ่มภาคประชาชนหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการวุฒิสภาต่างประเทศ กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-จีน ล้วนสะท้อนตรงกันว่าไทยขาดดุลการค้ายับเยิน ปรากฎว่าแอปเปิ้ล หอมแดง กระเทียมจากจีนทะลักเข้าไปไทยจนทำให้เกษตรกรบ้านเราต้องสูญเสียอาชีพกันเป็นจำนวนหลายแสนครอบครัว
ฉะนั้นการทำเอฟทีเอกับประเทศใหญ่ที่มีตลาดกว้างขวางจึงมิใช่คำตอบเสมอไปว่าเราจะขายของได้มากขึ้น ยังมีภาพลวงตาที่เรามองไม่เห็นอีกมากมาย เช่นการที่จีนให้มาตรการกีดกันสินค้าโดยใช้มาตรการภาษีมูลค่าเพิ่ม การตรวจเข้มเรื่องสารพิษ เช่น มีการตีกลับลำไยและทุเรียน ขณะที่ไทยกัลบปล่อยให้นเข้าโดยเสรี เป็นต้น
การที่เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนร่วม 10 เครือข่ายที่ประกอบด้วยเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค เครือข่ายป่าไม้ที่ดิน 4 ภาค สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ เครือข่ายสลัมสี่ภาค สภาเครือข่ายองค์กรประชาชนแห่งประเทศไทย สมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สมัชชาคนจน และกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชนคัดค้านการทำเอฟทีเอระหว่างไทย-สหรัฐฯ มีเหตุผลที่ลึกซึ้งมากไปกว่าแค่ตัวเลขดุลการค้าอีกด้วย นั่นคือสิ่งที่สหรัฐฯพยายามบีบบังคับไทยมาโดยตลอดให้ยอมตกลงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา โดยการขยายการคุ้มครองเรื่องสิทธิบัตรยาจาก 20 ปี เป็น 25 ปี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการผูกขาดของบรรษัทยาข้ามชาติ (ส่วนใหญ่ถือสัญชาติสหรัฐฯ) มากขึ้น ทำให้ยามีราคาแพงมากขึ้น ไม่แต่เฉพาะผู้ติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่จะรวมถึงชาวไทยทั้งประเทศที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่จำต้องได้รับยาที่บ้านเราไม่สามารถทำการผลิตได้ด้วย
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ติดตามเรื่องสิทธิบัตรยามาเป็นเวลากว่า 13 ปีกล่าวว่ายาและการสาธารณสุขเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนพึงจะได้รับ ดังนั้นการเจรจาเอฟทีจึงต้องคำนึงว่าเอฟทีเอจะส่งผลกระทบต่อการสาธารณสุขและการเข้าถึงยาของประชาชนหรือไม่ โดยไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบผลประโยชน์ทางการค้าได้
หากไทยยอมตามสหรัฐฯ โดยให้สิทธิผูกขาดแก่บริษัทระยะยาว จะส่งผลกระทบต่อคนไทย ถ้าหากเทคโนโลยีอยู่ในขั้นสูงและคนไทยกำลังเรียนรู้ แทนที่จะกระตุ้นให้ชาวไทยเริ่มประดิษฐคิดค้นพัฒนายา กลับขัดขวางและให้ประโยชน์ผูกขาดแก่ต่างชาติ อุตสาหกรรมยาจะพัฒนาไม่ทัน จะกระทบต่อผู้ป่วย และผู้บริโภคเข้าไม่ถึงยา
นอกจากนี้เหตุผลสำคัญที่ อ.จิราพรเห็นว่าฝ่ายไทยควรจะนำเรื่องสิทธิบัตรยาออกจากการค้า คือ เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตและวิจัยยาของสหรัฐ หรือ (PhRMA) พยายามเคลื่อนไหวกดดันให้ไทยแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรผ่านผู้แทนการค้ามาโดยตลอด เบื้องหลังการเคลื่อนไหวคือผลประโยชน์จากค้ายามหาศาล หากไปดูข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์ก็จะพบว่าอุตสาหกรรมยาเป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรสูงอยู่ใน 10-20 อันดันแรกของสินค้ามาตลอด
ความจริงแล้วประเทศไทยเองก็เคยมีบทเรียนกรณีสิทธิบัตรมาแล้วเมื่อปี 2532 โดยสหรัฐใช้มาตรการตอบโต้ข่มขู่ว่าจะลงโทษทางการค้าต่อไทย ตัดสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร (Generalized System of Perference -GSP) กับสินค้าไทยมูลค่า 165 ล้านดอลล่าร์ หรือ 4,125 ล้านบาท ในที่สุดไทยก็ต้องยอมแก้ไขกฎหมายสิทธบัตรในปี 2535 โดยขยายการคุ้มครองเพิ่มขึ้นจาก 15 ปี เป็น 20 ปี
ถือว่าประเทศไทยต้องคุ้มครองสิทธิบัตรก่อนที่ข้อตกลงทริปส์ใน WTO จะบังคับล่วงหน้าถึง 8 ปี เท่ากับว่าประเทศไทยต้องสูญเสียโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมยาภายในประเทศไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเทียบกับประเทศอินเดียที่ไม่ยอมตามสหรัฐ ปรากฎว่าอุตสาหกรรมยาของอินเดียพัฒนาไปอย่างมากจนถึงขั้นอยู่ในระดับแนวหน้าแล้ว
เหตุที่สิทธิบัตรเป็นอุปสรรคต่อการวิจัยและพัฒนายาภายในประเทศนั้น อ.จิราพรได้ยกกรณีตัวอย่าง ยารักษาโรคเอดส์ในประเทศไทยว่า บริษัทยาข้ามชาติพยายามนำยาที่เคยจดสิทธิบัตรแล้วมาผสมกัน หรือส่วนผสมทางยาเข้าไปเพื่อให้สามารถจดสิทธิบัตรเพิ่มมากขึ้น เช่น Zidovudine กับ Lamivudine หรือ Ritonavir กับ Lopinavir
จะเห็นว่าบริษัทยาไม่ได้มีการวิจัยและพัฒนายาขึ้นมาใหม่ เพียงแค่นำยาแต่ละตัวมาผสมกันแล้วก็จดสิทธิบัตรไปเรื่อย ๆ ระยะเวลาการผูกขาดก็ยาวออกไปเรื่อย ๆ ทำให้ยากลุ่มนี้ไม่สามารถพัฒนาในประเทศไทยได้เลยเพราะติดสิทธิบัตรนั่นเอง
จากข้อมูลทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2543-2546 พบว่าสิทธิบัตรที่ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยเป็นของต่างชาติถึง 5,148 รายการ จากจำนวน 8,574 รายการ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ยากที่จะคาดเดาว่าใครกันแน่ที่จะได้ประโยชน์จากแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรตามแบบสหรัฐ
ส่วนสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ทำการศึกษาผลกระทบของการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ มีความเห็นต่อกรณีคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาว่าการที่ประเทศต้อง ยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้สูงขึ้นทัดเทียมสหรัฐฯ จะมีผลทำให้ระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสูงเกินกว่าระดับการพัฒนาประเทศ ผลที่จะตามมาคือประเทศไทยจะขาดความยืดหยุ่นในการกำหนดนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ ทีเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่นการจัดหาตำราเรียน หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ราคาถูกให้แก่สถาบันการศึกษา นโยบายสาธารณสุข เช่นการจัดหายาราคาถูกให้แก่ผู้ป่วย ตลอดจนนโยบายเกษตร เช่นการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์พืชของเกษตรกร เป็นต้น
ดังนั้น ทีดีอาร์ไอจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลในการเจรจากับสหรัฐฯ เช่น ให้มีการยืดเวลาการปฏิบัติให้ยาวออกไปภายหลังจากทำเอฟทีเอ ไม่ควรขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรให้ครอบคลุมสิ่งมีชีวิตเกินไปกว่าข้อตกลงทริปส์ขององค์การการค้าโลก ต้องตัดเงื่อนไขที่จะเป็นการจำกัดการเข้าสู่ตลาดยาหรือสารเคมีของผู้ประกอบการรายใหม่ เช่น กรณีการขยายการคุ้มครอง การห้ามประกอบการ หรือการห้ามเข้าถึงข้อมูลการทดลองต่าง ๆ เป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนไหวของเครือข่ายองค์ภาคประชาชนครั้งนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งสำคัญของประเทศไทย หากสามารถทำให้ฝ่ายผู้แทนการเจรจาของไทยหันมาฟังเสียงของประชาชนบ้าง หรือทำให้ไทยไม่ยอมอ่อนข้อต่อสหรัฐฯ ก็จะเป็นผลดีกับคนไทย เฉพาะอย่างยิ่งอนาคตของลูกหลานเราเอง.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)