Skip to main content
sharethis

10 กุมภาพันธ์ 2549


บาปร้าย 7 ประการ ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร


 


            นับแต่นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  เข้ามาบริหารประเทศ  โดยได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนจำนวนมาก ด้วยความหวังว่าจะเป็นผู้แก้วิกฤติการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองไทยในขณะนั้น  แต่กาลเวลาผ่านมากว่า 5 ปีจนถึงปัจจุบัน  ความชัดแจ้งในหลายเรื่องได้เริ่มปรากฏขึ้น ท่ามกลางความผิดหวังของประชาชนไทยจากความคาดหวังทางการเมือง ข้อครหาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การคอร์รัปชั่นทางนโยบาย การแทรกแซงการตรวจสอบถ่วงดุลขององค์กรอิสระ สื่อมวลชนและภาคประชาชน ได้ขยายตัวมากขึ้นบนความคึกคะนองในอำนาจ  และเป็นผู้นำพาประเทศไทยไปสู่วิกฤติการณ์ครั้งใหม่เสียเองในหลายด้าน จนประชาชนเริ่มก่อตัวเป็นกระแสต่อต้านคัดค้านนโยบายและการกระทำของรัฐบาล โดยเฉพาะชนชั้นกลางในเมืองที่ใกล้ชิดข้อมูลข่าวสารและภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวตรวจสอบนโยบายของรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น  แต่กระนั้น รัฐบาลภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังสามารถตรึงความนิยมทางบุคคลได้อยู่โดยเฉพาะคนชนบท ด้วยนโยบายประชานิยมหมุนเวียน


            อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากกรณีการขายหุ้นชินคอร์ปของธุรกิจครอบครัวนายกรัฐมนตรี 73,300 ล้านบาท ให้แก่สิงคโปร์นั้น กลับกลายเป็นชนวนระเบิดลูกใหญ่ให้ประชาชนจำนวนมากต่อต้านรัฐบาลอย่างหนักหน่วง เติมกระแสจากกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ได้จุดกระแสผลประโยชน์ทับซ้อนมาก่อนหน้า  ด้วยข้อกล่าวหาสำคัญดังกล่าว พัวพันโดยตรงถึงคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะความชอบธรรมทางจริยธรรม ซ้ำร้าย การกระทำดังกล่าวยังโยงใยถึงความมั่นคงของชาติ เพราะเป็นธุรกิจที่เติบโตมาจากการผูกขาดสัมปทาน การถ่ายโอนทรัพย์ของประเทศให้ต่างชาติแล้วเอาผลประโยชน์เข้าตัวเองแต่เพียงผู้เดียวนั้น เป็นที่ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด และทุกภาคส่วนของสังคมในขณะนี้จึงได้ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งโดยเร็วที่สุด ด้วยความผิดสำคัญทางจริยธรรมและการ "ขายชาติ"


            ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย(ศยป.) มีความเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวได้ขยายผลย้อนหลังไปจนเห็นธาตุแท้ตัวจริงของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อย่างโล่งโจ้ง จนไม่อาจมีความชอบธรรมใดๆ เหลืออยู่ในการดำรงตำแหน่งทางสังคมการเมืองใดๆ ทั้งสิ้นอีกต่อไป  การกระทำอันต่อเนื่องของนายกรัฐมนตรีได้เผยให้เห็นบาปร้ายของการเมืองไทยอย่างชัดเจนที่จะต้องมีการรื้อถอนเปลี่ยนแปลงและขจัดโครงสร้างปัญหาเหล่านั้นโดยเร็วที่สุด โดยนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดสำคัญและบาปร้าย 7 ประการที่ไม่สมควรเป็นนักการเมืองและผู้นำประเทศอีกต่อไป คือ


ความผิดสำคัญ และบาปร้าย 7 ประการ ของนายกทักษิณ  ชินวัตร


            1.เป็นนักธุรกิจเก็งกำไรในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี   เป็นโชคร้ายของสังคมไทยที่มีนักธุรกิจเก็งกำไรที่เก่ง มีความสามารถทางเทคนิค แต่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาเดียวกัน  ซึ่งเป็นความไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะผู้นำประเทศหรือนักการเมืองไม่ควรทำธุรกิจหรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆ มาเกี่ยวข้อง  ปัญหาดังกล่าวจึงนำมาซึ่งการใช้อำนาจเพื่อ 2 หน้าที่จนเกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ที่มีการใช้อำนาจในคราบนายกฯ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ธุรกิจประเภทนี้ เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจสีเทา ไม่สะอาดเพราะใช้อำนาจทางการเมืองไปเอื้อประโยชน์ ดังนั้น การที่นายกทักษิณ ไม่ล้างมือจากธุรกิจอย่างเด็ดขาด จึงเป็นบาปตั้งแต่แรกเริ่ม โดยเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้น ก็ไม่ต้องการให้นักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ จึงบัญญัติให้มีหุ้นส่วนไม่เกิน 5% และหากต้องการรับประโยชน์อยู่ต้องยกให้นิติบุคคลดูแลจัดการทรัพย์สินแทน แต่นักการเมืองในคราบนักธุรกิจไม่มีใครปฏิบัติตาม


            2.โกหกและหลอกลวงประชาชน เห็นคนจนเป็นคนโง่   การใช้นโยบายแก้ปัญหาความยากจนต่างๆ เป็นประชานิยมแบบหมุนเวียนและยึดโยงหนี้  ใช้เงินของรัฐซื้อความนิยมของพรรคและส่วนตัว มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี  เป็นแบบอย่างทางสังคมไม่ได้  มีแนวคิดว่าคนจนเพราะไม่ขยัน แต่ละเลยไม่พูดเรื่องโครงสร้าง ที่คนจนออมเท่าไหร่ก็ไม่รวย ด่าคนดีของสังคมที่ออกมาท้วงติงการทำงานของรัฐบาล เห็นตัวเองฉลาดกว่าใครแต่เพียงผู้เดียว ไม่รับฟังความเห็นต่าง มีการโกหกเป็นพื้นฐานส่วนตัว เช่นกรณี สมัชชาคนจน การแก้ปัญหาความยากจน ที่ดิน และการเลี่ยงภาษี


            3.ไม่มีศีลธรรมในจิตใจ  ไม่รู้จักพอ  จากการซุกหุ้นซ้ำครั้งที่ 2  เพื่อเลี่ยงภาษี บ่งบอกนิสัยถาวรว่า ทำธุรกิจโดยไม่มีหลักศีลธรรม  เป็นนักการเมืองที่รวยขึ้นๆ ขณะคนอื่นจนลงๆ  แสดงให้เห็นว่าเป็นคนได้ไม่รู้จักพอ  นอกจากนั้นยังมีนโยบายมอมเมาอบายมุขให้สังคมเพิ่มขึ้นโดยเปลี่ยนธุรกิจสีเทาให้ถูกกฏหมาย เช่น การขายหวยบนดิน โดยไม่สนใจศีลธรรมทางสังคมเพื่อเงินอย่างเดียว


            4.ผูกขาดอำนาจทางการเมืองแต่เพียงผู้เดียว   โดยใช้ระบบบริษัทพรรคการเมือง สร้างการขึ้นต่อด้วยเงินตราและผลประโยชน์ แทรกแซงองค์กรถ่วงดุล รวบอำนาจฝ่ายต่างๆ ถีบตัวขึ้นเป็นเด็จการรัฐสภา ถือว่า เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ  ยึดอำนาจผู้แทนประชาชนที่ถูกเลือกเข้ามาให้เป็นทาสสวามิภักดิ์ สนองการใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่กลุ่มตนเอง ถีบตัวจากรัฐบาลพรรคเดียวเป็น รัฐบาลโดยคนๆ เดียวแบบเบ็ดเสร็จ จึงถือเป็นทรราชย์ทางการเมืองอย่างชัดเจน


            5.เอาเปรียบประชาชน เป็นคนเห็นแก่ได้  ใช้เงินซื้อได้ทุกอย่าง และเอางบประมาณของแผ่นดินหาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด ทั้งในการสร้างคะแนนนิยมของพรรคหรือใช้งบรัฐแก่กิจกรรมส่วนตัว  การขายหุ้นชินคอร์ปให้ต่างชาติโดยแก้กฏหมายการถือครองสัดส่วนของต่างชาติจาก 25% เป็น 49% เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง เป็นการขายชาติที่เห็นแก่ได้ที่สุด  การทำ  FTA  โดยไม่เปิดเผยข้อมูลและไม่ผ่านรัฐสภา แลกผลประโยชน์ส่วนตัวโดยธุรกิจดาวเทียมและโทรคมนาคม  กับความเสียหายของคนส่วนใหญ่ โดยหลอกให้ดูภาพรวมถือเป็นการเอาเปรียบอย่างไร้ยางอาย


            6.ทำตัวเป็นอาชญากรทางการเมือง   จากการเป็นตำรวจเก่าและเรียนจบอาชญวิทยา เข้าข่ายวิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์  มีนโยบายสร้างความรุนแรง  ใช้ม๊อบชนม๊อบเพื่อลดกระแสต่อต้านตัวเอง สั่งข้าราชการล่ารายชื่อหนุน   ใช้กระบวนการยุติธรรมแบบเลือกปฏิบัติ ฟ้องร้องประชาชนที่เห็นต่าง  นโยบายปราบปรามใน 3 จังหวัดภาคใต้ มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดโดยมีการฆ่าตัดตอนแต่ไม่มีการตรวจสอบ สร้างฐานดัชนีบนความตายเพื่อเป็นคะแนนนิยมโดยไม่สนใจชีวิต
            7.ไม่มีความเสียสละ  นักการเมืองที่ดีต้องมีความเสียสละ เข้ามาเป็นนักการเมืองเพื่อทำเพื่อผู้อื่น  หากรวยอยู่แล้วต้องจนลง การเป็นนักการเมืองต้องไม่มีการลงทุน หรือกอบโกยประโยชน์จากอำนาจที่มี  แต่พ.ต.ท.ทักษิน ชินวัตร ไม่เคยมีความเสียสละ  แม้แต่การเสียสละจากความเข้าใจผิดเรื่อง 19 ล้านเสียงที่ไว้วางใจ  ไม่ยอมลาออกและรับผิดชอบทางจริยธรรมใดๆ


            การหมดความชอบธรรมตามบาปร้ายทั้ง 7 ประการจึงนำมาซึ่งวิกฤติการณ์ประชาธิปไตยในรัฐบาลทักษิณอย่างปฏิเสธไม่ได้


ข้อเรียกร้องของ ศยป.


            1.เมื่อนายกรัฐมนตรีไม่ยอมลาออกตามข้อเรียกร้องของประชาชน  และใช้กลไกอำนาจต้านทานพลังประชาชน จนอาจเป็นเหตุของความรุนแรงในอนาคต ศยป.ขอเรียกร้องให้ นักการเมืองที่ยังมีจิตสำนึกประชาธิปไตยและยังรักความเป็นธรรมถูกต้องทุกคน แสดงจุดยืนทางการเมือง ปฏิเสธอำนาจจากนายทาส แสดงพลังและเจตจำนงค์ให้นายกรัฐมนตรีลาออกทุกวิถีทางตามเจตนารมณ์ของประชาชน  ไม่ว่าจะเป็น กดดันด้วยการลาออกจากคณะรัฐมนตรี  การร่วมลงชื่อสนับสนุนให้ครบ 200 เสียง เพื่อให้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในสมัยวิสามัญ  การรวมตัวกันแก้กฏมายรัฐธรรมนูญปลดล็อค 90 วันสังกัดพรรค และการบังคับ ส.ส.ต้องจบปริญญาตรี เพื่อให้สามารถลาออกจากพรรคแล้วสมัครรับเลือกตั้งใหม่ได้ โดยไม่ติดเงื่อนไข และให้ ส.ส. ยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานะ ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิรูปการเมืองขับเคลื่อนไปได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ  จากการเผด็จอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร และเพื่อร่วมกันรื้อถอนโครงสร้างระบอบทักษิณ ที่ฝังรากฐานแห่งอำนาจสูบเลือดกอบโกยโกงกินสังคมไทยไปไม่มีที่สิ้นสุด


            2. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการสร้างเงื่อนไขความรุนแรง หยุดนโยบายม๊อบชนม๊อบ หรือการแสดงพลังในลักษณะเผชิญหน้าเพื่อสนับสนุนรัฐบาล หรือการใช้กลไกอำนาจรัฐกลั่นแกล้ง คุกคามประชาชนทุกรูปแบบ


            3.บทเรียนจากการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินเพื่อเลี่ยงภาษีในกรณี 73,300 ล้านนั้น เป็นปัญหาสั่งสมมาอย่างยาวนานของสังคมไทย ที่ทำให้เห็นปัญหาทางโครงสร้างระหว่างช่องว่างความเหลื่อมล้ำของคนจนและคนรวยชัดเจนขึ้น  ในขณะที่คนจนไม่มีโอกาส โครงสร้างก็ไม่เป็นธรรมด้วย  เนื่องจากไม่มีการเก็บภาษีคนรวยที่เล่นหุ้น และนักการเมืองมักใช้อำนาจยกเว้นภาษีให้ธุรกิจที่ตนเองสมประโยชน์ด้วย ทั้งปัจจุบันรัฐยังเก็บภาษีทางอ้อมกว่า 70% แต่ภาษีทางตรงแค่ประมาณ 30% เท่านั้น ส่งผลให้ความเดือดร้อนตกอยู่แก่คนจนเป็นส่วนใหญ่ ที่รายได้น้อยกว่าแต่ต้องเสียภาษีทางอ้อมเท่ากันกับคนรวยโดยผ่านทางสินค้าอุปโภค-บริโภค ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  ภาระภาษีส่วนใหญ่ถูกผลักใสไปสู่คนชั้นกลางและคนยากจนซึ่งเป็นผู้บริโภคส่วนใหญ่ของประเทศนั่นเอง จนทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้แย่เป็นอันดับ 1 ใน 3 ของโลก


            ดังนั้น ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย(ศยป.) ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเก็บภาษีมรดกอัตราก้าวหน้าด้วย  โดยคนจนจ่ายน้อย คนรวยจ่ายมาก   เพื่อแก้ปัญหาช่องว่างทางสังคมระหว่างคนจน คนรวยในระยะยาว ทั้งนี้ การเก็บภาษีมรดก(อัตราก้าวหน้า)นั้น จะช่วยให้ประชาชนมีโอกาสทางเศรษฐกิจเสมอภาคมากขึ้น ลดความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ และทำให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งไปสู่คนส่วนใหญ่อันนำไปสู่การลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับผู้มีรายได้น้อย 


            นอกจากนี้ในทางเศรษฐกิจ ยังเป็นแรงจูงใจให้เจ้าของมรดกหรือลูกหลานทำงานและขยายการลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากต้องสำรองไว้เสียภาษีมรดกในอัตราก้าวหน้า จึงไม่ต้องกลัวการลงทุนจะหดตัวแต่อย่างใด  โดยให้ปรากฏการณ์ซุกหุ้นภาค 2 ของนายกทักษิณเตือนใจว่า การร่ำรวยนั้นแม้จะสุจริตแต่อาจไม่มีความเป็นธรรม หากจะกอบโกยตามเงื่อนไขตลาดเสรีทุนนิยม หรือมือใครยาวสาวได้สาวเอาแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่จ่ายคืนกำไรหรือรายได้สู่สังคม เพราะการทำธุรกิจและความร่ำรวยนั้นมาจากการดูแล คุ้มครองและรับรองจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นทางกฏหมาย การบริการทางการค้า การให้สัมปทานหรือนโยบายที่รองรับ ซึ่งค่าสัมปทานหรือรับรองโดยรัฐนั้น ไม่ได้นำเอาต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่สูญเสียไปมาคิดเป็นต้นทุนในการเก็บค่าธรรมเนียมด้วย   และปัจจุบันคนร่ำรวยจ่ายคืนแก่สังคมและรัฐน้อยเต็มที ซึ่งทำให้ชนชั้นนำไทยร่ำรวยอย่างมหาศาล โดยเฉพาะแกนนำพรรคไทยรักไทยในปัจจุบัน ฉะนั้นมูลค่าที่ได้ควรจ่ายคืนกำไรแก่สังคมด้วย และภาษีมรดก คือ การคืนกำไรส่วนเกินที่ปลายทางนั่นเอง


            ทั้งนี้ การเก็บภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า ถูกใช้เป็นทางออกหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ บราซิล อินเดีย ฯลฯ  หรือแม้กระทั่งในทวีปยุโรปกว่า 28 ประเทศ เช่น อังกฤษ ก็มีการจัดเก็บภาษีมรดกแบบอัตราภาษีก้าวหน้าตามมูลค่าของทรัพย์สินนั้น ตั้งแต่ร้อยละ 1 - 80 ของมรดก  ฝรั่งเศส  จัดเก็บ 5 - 60%  ในขณะที่ ญี่ปุ่นเองซึ่งเป็นประเทศแนวหน้าทางเศรษฐกิจของเอเชีย  ก็เก็บภาษีตามมูลค่ามรดกที่ได้รับตั้งแต่ 10 - 70% นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา


            ข้อเสนอเหล่านี้ เพื่อให้สังคมไทยหลุดพ้นจากวิกฤติการณ์ประชาธิปไตยในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เพื่อสร้างประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมต่อไป


 


10 กุมภาพันธ์ 2549


คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net