ประชาไท - 15 ก.ค. 50 เมื่อวันที่ 14 พ.ค. คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) นำโดย นาย
จากการที่ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ผ่านการพิจารณาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2550 และต้องให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ถือเป็นการทำประชามติอนุมัติรัฐธรรมนูญโดยประชาชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว กป.อพช. และองค์กรเครือข่าย ซึ่งได้จัดกิจกรรมเพื่อเสนอข้อคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ 2550 อย่างต่อเนื่อง จึงจัดให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 อย่างรอบด้าน เพื่อกำหนดจุดยืนของเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านต่างๆ และเป็นฐานในการตัดสินใจว่าจะลงประชามติ "รับ" หรือ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550
การระดมความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เริ่มต้นเมื่อเวลา 10.00 น.โดยนาย
"การประกาศจุดยืนของ กป.อพช. นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของประชาชน เพราะเป็นสิทธิในการวินิจฉัยของบุคคล ถามว่ารัฐธรรมนูญเลวมากไหมก็ไม่ใช่ ถึงดีแต่ก็ไม่มาก จึงเป็นสิ่งที่ต้องมาคุยกัน" นายจอนกล่าว
จากนั้นเป็นการสรุปเกี่ยวกับการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยนาย
ด้านนาย
เดิมกรรมการสรรหาขององค์กรอิสระประกอบด้วยบุคคลที่หลากหลาย แต่ปัจจุบันอำนาจส่วนใหญ่ตกอยู่ที่ศาล ที่ถือเป็นฮีโร่ของปวงชนชาวไทยในสถานการณ์ที่ประชาชนไม่สามารถพึ่งพานักการเมือง หรือเอ็นจีโอได้ ซึ่งทำให้มีแนวโน้มในการเลือกชนชั้นนำในวงราชการเข้ามามากขึ้น ปิดโอกาสของภาคประชาชน
"รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดท่ามกลางฝ่ายราชการ ฝ่ายทหารที่เป็นอมาตยาธิปไตย จึงไม่แปลกที่คนกลุ่มนี้จะมีพื้นที่มากในรัฐธรรมนูญ ใครที่เพ้อฝันแบบปี 40 ไม่มีจริง บรรยากาศตอนนั้นเป็นการปฏิรูปการเมือง แต่ตอนนี้เป็นการชูหางทหารเพื่อสร้างประชาธิปไตย"
นอกจากนี้นายไพโรจน์ยังได้แบ่งดุลอำนาจทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ 50 ออกเป็น 3 เส้า คือ นักการเมืองผู้ถูกควบคุมกำกับตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ฝ่ายราชการที่มีพื้นที่ทางอำนาจมากขึ้น และอำนาจของประชาชน โดยรัฐธรรมนูญ 50 เป็นการต่อสู้ของอำนาจ 3 ฝ่าย ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูกหรือนโยบายต่างๆ ซึ่งในอนาคตหากมีการรวมอำนาจแล้วภาคประชาชนอาจต้องถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว
ต่อมา ช่วงบ่ายเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นของเครือข่ายต่างๆ ต่อเรื่องการรับและไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีการยกเหตุผลถึงที่มาและข้อดีข้อเสียของเนื้อหาในส่วนต่างๆ มีความคิดเห็นที่หลากหลายทั้งที่เป็นส่วนตัว เป็นของกลุ่มตัวแทน และความคิดเห็นต่อการแสดงจุดยืนของ กป.อพช.
"ในส่วนตัว คิดว่าต้องรับเพราะกลัวทหาร และไม่มั่นใจว่าจะมีการหยิบรัฐธรรมนูญฉบับไหนมาใช้ ซึ่งก็ต้องไปต้องสู้เพื่อแก้ไขในกฎหมายลูกกันต่อไป" ตัวแทนจากเครือข่ายผู้หญิงเพื่อสันติภาพกล่าวแสดงความเห็นในการรับร่าง
ตัวแทนเครือข่ายผังเมืองกล่าวว่า การเลือกรับและไม่รับในเครือข่ายเองถือเป็นอิสระบุคคล แต่โดยส่วนตัวแล้วจำใจรับ เพราะไม่อยากให้ คมช. มีทางเลือก จึงต้องใช้สิทธิที่มีในตรงนี้ ไม่ไปสู้ในสิ่งที่มองไม่เห็นที่คมช.เลือกให้
"รับเพราะอยากให้ลูกบอลอยู่ในเท้าเรา เพื่อเอาไปตีจุดอ่อนที่เผด็จการมี การที่ กป.อพช.ไม่ว่าจะไปให้คำตอบต่อสังคมว่าจะรับหรือไม่รับ ก็เป็นการเลือกกาในสิ่งที่ คมช.ให้เลือก เหมือนเราไปรับลูกกระบวนการอยู่แล้ว" ตัวแทนเครือข่ายผังเมืองกล่าว
นอกจากนี้ยังเสนอเพิ่มเติมว่าหากคำตอบที่จะให้คือการไม่รับต้องตอบเป็น 2 เด้ง คือ ไม่รับทั้งเนื้อหาและที่มาที่มาจากการรัฐประหาร อีกทั้งฉบับใหม่ที่จะมีต่อไปที่มาก็จะต้องไม่ใช่จากรัฐบาลรัฐประหารด้วยเช่นกัน
ด้านนาย
"ผมพูดแทนเครือข่ายไม่ได้ แต่โดยส่วนตัวคิดว่า กป.อพช.ควรมีจุดยืนไม่รับ และอธิบายเหตุผลในความไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแต่บอกไม่รับโดยการอ้างแหล่งที่มาไม่ถูกต้อง บทพิสูจน์ของการปฏิวัติรัฐประหารคือรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่โดยใช้งบประมาณมากมายแต่ทำได้เพียงไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญ
"เมื่อข้าพเจ้าขึ้นขี่อยู่บนคอท่าน ข้าพเจ้าจะทำตัวให้เบาที่สุดแม้จะต้องถอดเสื้อผ้าจนตัวเปลือยเปล่า ขอเพียงแต่ไม่ต้องลงจากหลังท่าน" นายเดช พุ่มคชา นักกิจกรรมเพื่อสังคม กล่าวถึงการสืบทอดอำนาจของ คมช. ที่จะยังคงมีอยู่แม้จะบอกรับหรือไม่รับร่าง
นายเดชกล่าวต่อว่า การที่ระบุว่าอำนาจเป็นของประชาชน แต่เมื่อพิจารณาดูรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ประชาชนเข้าถึงได้กี่อำนาจ ทั้งหมดคือนาฏกรรมหลอกลวงประชาชน กป.อพช. ต้องทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์ ผลที่จะเกิดขึ้นอีก 10 - 50 ปี ข้างหน้าให้ชัดเจน อธิบายถึงข้ออ่อนของรัฐธรรมนูญ 50 ส่วนประชาชนจะตัดสินใจอย่างไรอำนาจจะเป็นของประชาชน ภาคประชาชนควรต่อสู้อย่างเป็นกระบวน อย่าห่วงแต่ประเด็นของตนเอง
ในการแสดงความคิดเห็นยังไม่มีข้อสรุปของจุดยืนของ กป.อพช.ที่ชัดเจน แต่ก็มีการพูดคุยกันว่า กป.อพช.ต้องมีการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนเพื่อยืนหยัดเจตนารมณ์ในการก่อตั้งที่ว่า ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน สร้างประชาธิปไตยกินได้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม
หลังจากนั้นเป็นการประชุมร่วมกันของตัวแทนเครือข่าย กป.อพช. วิเคราะห์เนื้อหาสำคัญและประมวลข้อเสนอต่างๆ ของร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เพื่อหาข้อสรุปจุดยืนภาคประชาชนกับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยจะมีการแถลงข่าว ในวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค. เวลา 11.00 น.
------------------------------------
หมายเหตุ รายงานชิ้นนี้ได้แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาในส่วนของคุณ