สาระสำคัญของพ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ที่การเปลี่ยนชื่อสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) เดิมมาเป็นกรมวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทย พร้อมทั้งโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ ราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างและเงินงบประมาณมาด้วย

กรมใหม่นี้จะมีบทบาทส่งเสริมงานด้านวิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทยทั้งหมด รองรับผู้ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม และผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทย โดยข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างทั้งหมดยังคงมีสถานภาพเหมือนสังกัด สวช.เดิมทุกประการ

คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ แถลงว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ วธ.ต้องผลักดันให้สำเร็จภายในรัฐบาลนี้ เนื่องจาก พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 และพ.ร.บ.สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2522 ที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานเนื้อหาไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข จนมาเป็นร่างพ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ ฉบับนี้

หากมีการประกาศใช้จะทำให้ภารกิจของกรมชัดเจนขึ้น จากที่เป็น สวช.เดิมต้องทำงานครอบคลุมทั้งประเทศ ทำงานเหมือนเป็นกระทรวงหนึ่ง แต่เมื่อมี วธ. เกิดขึ้นเมื่อปี 2545 จำเป็นต้องมีกฎหมายรองรับ สวช.ใหม่ มีหัวหน้าหน่วยงานระดับอธิบดี อย่างไรก็ตาม แม้จะเปลี่ยนชื่อกรมใหม่ แต่นายปรีชา กันธิยะ ยังเป็นเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเหมือนเดิม และขอให้ข้าราชการทุกคนวางใจได้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากในส่วนงานภาพยนตร์ที่กรมรับโอนไปใหม่เท่านั้นจะต้องมีการปรับโครงสร้างรองรับ ซึ่งเป็นเรื่องภายในสามารถทำเป็นกฎกระทรวงรองรับได้

รมว.วธ. กล่าวอีกว่า ครม. ได้ขอให้มีการตัดคำว่า ไทย ออกจากชื่อกรมและทุกหน่วยงานในสังกัดกรม จากกรมวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทย เป็น กรมวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญา กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทย เป็น กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญา เพื่อให้มีความหลากหลาย และการทำงานที่กว้างขวางขึ้น ซึ่งวธ.เห็นด้วยและให้มีการปรับแก้ตามที่ ครม. เสนอ ทั้งนี้เมื่อ ครม. เห็นชอบแล้ว ตนจะนำร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาภายในสัปดาห์หน้า

ที่มา : เว็บไซต์ คม ชัด ลึก