Skip to main content
sharethis


วานนี้ (28 มิ.ย.) คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อประชาธิปไตย (ภาคเหนือ) กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ (ภาคเหนือ) และกลุ่มนักศึกษาปริญญาโทเพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกจดหมายเปิดผนึกเรื่อง กรณีข้อเสนอ"การเมืองใหม่" ของพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยจดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าวระบุใจความว่า

สืบเนื่องมาจาก การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชูประเด็นล้าหลัง คลั่งชาติ รวมถึงไม่เคารพในระบบเสียงในระบอบประชาธิปไตย และดูถูกดูแคลนการเรียนรู้ทางประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย ขณะนี้ มีแนวโน้มจะนำพาสังคมไทยสู่การถอยหลังทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกคำรบ โดยการเสนอสร้าง "ระบบการเมืองใหม่"


เราในนาม คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อประชาธิปไตย(ภาคเหนือ) และเครือข่ายภาคประชาชนภาคเหนือ ดังรายนามข้างล่าง มีเจตนารมณ์แนวแน่ต้องการสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น และต้องการให้รัฐเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าเพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ เพื่อให้มีความเสมอภาคและความยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคมไทย เรามีความคิดเห็นและข้อเรียกร้อง ดังนี้

1. ระบบการเมืองใหม่ ที่พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยเสนอให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มาจาการสรรหา 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ก็ไม่ได้ให้ความชัดเจนถึงข้อเสนอว่า ใครเป็นผู้สรรหา   ท่ามกลางการปราศรัยที่โน้มน้าวหมิ่นเหม่เรียกร้องกองทัพแสดงท่าทีปฏิเสธระบอบรัฐสภาอยู่เป็นประจำ  


ประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมา ข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นจริงได้ ก็ต้องกำหนดให้ปรากฎในกติกา กฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจผ่านการรัฐประหาร และการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร


อย่างไรก็ตาม  ระบบการคัดเลือกผู้แทนในรูปแบบที่ถูกเสนอขึ้นมา ได้เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยมานับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะในยุคเผด็จการทหารครองเมือง ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2500 สืบเนื่องมาจนเกือบ 20 ปี และในช่วงเวลาหลัง พ.ศ. 2520 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2521 ก็ได้ให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้งวุฒิสมาชิกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบรัฐสภา เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าหน้าที่หลักของบรรดา ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ก็เพื่อค้ำชูอำนาจของระบอบอำมาตยาธิปไตย นั่นเอง


2. กล่าวอีกด้านหนึ่ง  ภายหลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ให้บทเรียนแก่สังคมไทยอีกครั้งว่า รัฐประหารไม่ใช่แนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย ในทางตรงกันข้าม การรัฐประหารกลับทำให้อำนาจล้าหลังของ "ระบบอำมาตยาธิปไตย" ฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง  โดยการแต่งตั้งหรือสรรหา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ก็เป็นอดีตข้าราชการทั้งนั้น และ สนช.ก็ได้ออกกฎหมายนับร้อยฉบับที่ให้อำนาจรวมศูนย์กับส่วนกลางและระบบราชการ ระบบอำมาตยาธิปไตย โดยมีการเร่งรีบพิจารณา ไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ไร้ซึ่งการตรวจสอบ ถ่วงดุล และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน อาทิเช่น พระราชบัญญัติป่าชุมชน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พระราชบัญญัติด้านสื่อสารมวลชนอีกนับสิบฉบับ ฯลฯ ตลอดทั้งพระราชบัญญัติความมั่นคง 


ดังนั้นการแต่งตั้งหรือสรรหา 70 เปอร์เซ็นต์ ตามข้อเสนอของพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย คงไม่แตกต่างจากการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ของคณะรัฐประหารมากนัก


3. ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา เพื่อยกระดับการเมืองไทยให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ต้องยืนยันหลักการหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรว่าเป็นหัวใจของประชาธิปไตย เพราะแม้ระบบการเลือกตั้งอาจไม่เท่ากับประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์    


4. ขณะเดียวกันรัฐและสังคมไทย ก็ต้องยอมรับสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม การต่อรองนอกระบบรัฐสภาของประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ในลักษณะขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ได้อย่างเสรีและเสมอภาค   เช่น  สมัชชาคนจน  เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ เครือข่ายชาติพันธุ์   แนวร่วมกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ(นกน.)  สมาพันธ์ประมงพื้นบ้านภาคใต้  เครือข่ายที่ดินเขาบรรทัด   เครือข่ายหนี้สินแห่งประเทศไทย  เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายสื่อภาคประชาชน   สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน    สหภาพแรงงาน และอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าพรรคการเมืองไหนเป็นรัฐบาลก็ตาม หรืออาจเรียกว่า "การเมืองแบบใหม่" ในโลกยุคปัจจุบัน    และที่สำคัญต้องไม่มีอำนาจนอกระบบ   อำนาจความรุนแรง  ข่มขู่คุกคาม เหมือนเช่น สมัย คมช.มีทหารบางหน่วยกดดันชาวบ้านปากมูลและชาวบ้านที่คัดค้านการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น


5.ท้ายสุด ขอเรียกร้องให้ประชาชนไม่ต้องเข้าร่วมการชุมนุมของพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากทิศทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยจะนำพาประชาธิปไตยไทยถอยหลังเข้าคลองมากยิ่งขึ้น  แทนที่จะพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นด้วยความอดทนแม้จะต้องใช้เวลายาวนานก็ตาม และขอให้ประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารต่างๆจากสื่อสารมวลชนด้วยความไตร่ตรองอย่างมีวิจารณญาณ.


 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net