Skip to main content
sharethis
วงเสวนาพิเศษกระบวนการสันติภาพปาตานี นักวิชาการเยอรมันเปิดบทเรียน 10 ข้อ กระบวนการสันติภาพในโลก ยันความพร้อมในการพูดคุยสร้างได้ ไม่ต้องรอ  สร้างพื้นที่กลาง ผลักสันติภาพชายแดนใต้  ศ.ดร.แม็คคาร์โกชี้ “การปกครองตนเอง” ทางออกปัญหาภาคใต้ NGO อินโดแนะภาคประชาสังคมจะต้องสร้างข้อเสนอร่วม
 
 
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 7 กันยายน 2555 ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีการเสวนาพิเศษเรื่อง "กระบวนการสันติภาพปาตานีในบริบทอาเซียน" (“Pat(t)ani Peace Process in ASEAN Context”) ในการประชุมวิชาการนานาชาติรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสันติศึกษาในบริบทอาเซียน
 
เปิดบทเรียน 10 ข้อ สร้างสันติภาพในโลก
 
ดร.โนเบิร์ต โรเปอร์ส  ผู้อำนวยการองค์กรสนับสนุนสันติภาพเบิร์กฮอฟ กล่าวว่า ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา ตนได้ร่วมกับภาคประชาสังคมในภาคใต้จัดเวทีสันติภาพของคนใน (Insider peace platform) มีผู้เข้าร่วมประมาณ 50 คนและได้รับการสนับสนุนโดย 5 สถาบันวิชาการ  โดยผู้เข้าร่วมได้ทำการวิเคราะห์ร่วมกันว่าความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้คืออะไรในการสัมมนาร่วมกัน 6 ครั้ง  โดยได้ทำบทวิเคราะห์ร่วมซึ่งจะเผยแพร่ต่อสาธารณะต่อไปเพื่อที่จะสร้างแผนที่ไปสู่สันติภาพ 
 
“กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลา และในกระบวนการก็มีการสร้างความสัมพันธ์และมีการแลกเปลี่ยนความคิดกันระหว่างกลุ่มคนที่มีความคิดแบบสายเหยี่ยวและสายพิราบ” ดร.โรเปอร์สกล่าว
 
ดร.โรเปอร์สกล่าวด้วยว่า มีประสบการณ์ในการสร้างกระบวนการสันติภาพ 10 อย่างในต่างประเทศที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างกระบวนการสันติภาพในภาคใต้ ดังนี้ 
 
หนึ่ง ประเด็นของภาษา จะเห็นว่าภาษาที่ใช้ในการอธิบายความขัดแย้งมีผลต่อทิศทางในการแก้ไขปัญหา เช่น ถ้ามองว่าเป็นปัญหาความมั่นคงอย่างเดียว ก็จะมีการแก้ปัญหาแบบหนึ่ง ซึ่งประสบการณ์ในประเทศอื่นแสดงให้เห็นแล้วว่าการใช้ภาษาความมั่นคงอย่างเดียวไม่สามารถจะเดินไปได้ ประสบการณ์ในประเทศอื่นๆ ยังชี้ให้เห็นว่า ในขณะที่ความขัดแย้งดำเนินไป ภาษาในการอธิบายความขัดแย้งก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของภาษานี้ก็จะมีผลทำให้การแก้ไขความขัดแย้งง่ายขึ้น
 
สอง มีความจำเป็นในการยอมรับถึงรากเหง้าของปัญหา เช่น ในประเทศแอฟริกาใต้ ปัญหาเรื่องการแบ่งแยกสีผิวเป็นปัญหารากฐาน หากไม่แก้เรื่องนี้ก็ไม่อาจจะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้
 
สาม ต้องไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่จะควบคุมการสื่อสาร จะต้องมีการอนุญาตให้กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มมีโอกาสในการพูดคุยถึงทางออกของปัญหา
 
ความพร้อมพูดคุยสร้างได้ ไม่ต้องรอ
 
สี่ ความพร้อมในการพูดคุย เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ความพร้อมเกิดขึ้นเอง เราควรต้องรณรงค์ในการสร้างกระบวนการสันติภาพขึ้นมา เช่น ด้วยการนำเสนอความคิดเรื่องการกระจายอำนาจ  หรือการริเริ่มข้อเสนอใหม่ๆ 
 
ห้า  การดำเนินการฝ่ายเดียวเป็นเรื่องที่ทำได้และมีพลัง ไม่จำเป็นต้องรอให้อีกฝ่ายหนึ่งเริ่มต้นก่อน   หลายครั้ง คู่ขัดแย้งฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรงก่อน   หรืออีกฝ่ายหนึ่งก็เรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งทำการปฏิรูปก่อนที่ตนเองจะขยับ  จริงๆ แล้วกระบวนการที่ดำเนินการโดยฝ่ายเดียวนั้นสามารถที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสันติภาพได้
 
หก ต้องดึงคนมีความสงสัยและไม่เชื่อมั่นในเรื่องสันติภาพให้เข้ามาในกระบวนการ เพราะหลายครั้งความล้มเหลวของกระบวนการสันติภาพนั้น ไม่ใช่เพราะว่าคู่ขัดแย้งไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ แต่ว่าเป็นเพราะว่ามีปัญหาความขัดแย้งภายในกลุ่มเอง เช่น รัฐบาลอาจจะมีความขัดแย้งกับฝ่ายค้านและทำให้กระทบต่อกระบวนการนี้
 
เจ็ด จะต้องทำงานในเรื่องสันติภาพเชิงลบไปพร้อมๆ กับสันติภาพเชิงบวก บางครั้งกองทัพอาจจะบอกว่าต้องใช้สันติภาพเชิงลบ คือ การปราบปราม เพราะผู้ก่อความไม่สงบใช้ความรุนแรง ก่อนที่จะใช้สันติภาพเชิงบวก คือการแก้ไขในประเด็นที่เป็นรากเหง้าของปัญหา ในขณะที่ขบวนการต้องการเห็นสันติภาพเชิงบวกก่อน ฉะนั้นในการทำงานจำเป็นจะต้องเชื่อมโยงทั้งสันติภาพเชิงบวกและลบเข้าด้วยกัน
 
สื่อมีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพ
 
แปด การสนับสนุนของสาธารณชนมีความสำคัญต่อความสำเร็จของกระบวนการสันติภาพ เราจำเป็นที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงผลในทางบวกของกระบวนการดังกล่าว ฉะนั้น บทบาทของสื่อจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง  สื่อกระแสหลักยังคงมีปัญหาอยู่ ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องพัฒนาการสนับสนุนจากสังคมให้มาก
 
เก้า จะต้องหยิบใช้อำนาจอ่อน (soft power) ขององค์กรภายนอก ส่วนใหญ่หลายๆ ประเทศจะกล่าวว่าตนเองยอมรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ แต่ว่าพอถึงระดับปฏิบัติก็มักจะมีการปฏิเสธหรือต่อต้าน
 
สิบ ความจำเป็นในการนำเอาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาพูดคุยเพื่อสร้างพื้นที่กลางและการแปรเปลี่ยนประเด็นผู้ชนะ-ผู้แพ้ไปสู่ความร่วมมือในการสร้างสันติภาพสำหรับพื้นที่ 
 
กำเนิดพื้นที่กลาง ค้น “พหุวิธี” ดับไฟใต้
 
ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) กล่าวถึงกระบวนการสร้างพื้นที่กลางเพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เกิดจากภาคนักวิชาการร่วมกับภาคประชาสังคมและสื่อทำงานร่วมกันมาประมาณ 1- 2 ปี โดยการสร้างความคิดร่วมในการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ จึงเกิดแนวคิด “พื้นที่กลาง” ขึ้นมา โดยขับเคลื่อนใน 3 ประเด็น คือ การปกครองพิเศษ การสานเสวนาและความยุติธรรม พร้อมกับการสร้างกระบวนการสื่อสารสาธารณะ ทำให้มีการพูดคุยในประเด็นดังกล่าวกว้างขึ้นเรื่อยๆ
 
ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวว่า การขับเคลื่อนดังกล่าวจะเดินไปพร้อมกันทั้งในระดับบน (track1) คือระดับของคู่ต่อสู้ระหว่างรัฐกับกลุ่มขบวนการต่อต้านรัฐ ระดับกลาง (track2) คือภาคประชาสังคม และระดับล่าง (track3) คือประชาชน เพื่อให้พื้นที่กลางขยายเพิ่มขึ้น และเกิดการยอมรับมากขึ้น โดยมีแนวทางในการลดความรุนแรงในพื้นที่ออกมาหลายๆ แนวทาง เรียกว่า พหุวิธีในการทำงาน (multi-platform)
 
“ปัญหาภาคใต้ ต้องแก้ด้วยการปกครองตนเอง”
 
ศ.ดร.ดันแคน แมคคาร์โก ศาสตราจารย์ประจำสำนักศึกษาการเมืองและการระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยลีดส์, ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า “ปัญหาในภาคใต้เป็นปัญหาการเมืองที่ต้องการทางออกทางการเมือง” แม้ว่าจะมีเรื่องอื่น เช่น ยาเสพติด การพัฒนา แต่ก็เป็นเพียงประเด็นรอง
 
ศ.ดร.แม็คคาร์โกกล่าวว่ามีคนที่ไม่พอใจกับอำนาจรัฐและจำเป็นที่ต้องมีพื้นที่ทางการเมืองให้กับพวกเขา ในกรณีของไอร์แลนด์เหนือ รัฐบาลของนายโทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษในสมัยนั้นได้คุยกับกลุ่ม IRA (กองกำลังกู้ชาติไอริส) ฉะนั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องมีความจริงจังอย่างต่อเนื่องในการพูดคุยกับกลุ่มติดอาวุธ รัฐต้องพร้อมที่จะคุยกับคนที่เป็นศัตรู
 
นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษผู้นี้กล่าวว่าประเทศไทยไม่ใช่สาธารณรัฐ แต่จะต้องมีการให้อำนาจท้องถิ่นในการปกครองตนเองในบางระดับ  โดยให้เรื่องการทหารหรือการต่างประเทศคงไว้เป็นอำนาจของรัฐบาลต่อไป
 
เขาระบุว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการกระจายอำนาจ แต่สังคมไทยไม่ค่อยมีการพูดเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง แม้บางคนบอกว่าปัญหานี้เป็นเรื่องยาเสพติดหรือความยุติธรรม นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เรื่องสำคัญคือเรื่องของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ข้อตกลงทางการเมืองใดๆ ที่จะมีขึ้นนั้นจำเป็นจะต้องมีเรื่องการกระจายอำนาจอยู่ด้วย 
 
ศ.ดร.แม็คคาร์โกปฏิเสธที่จะเป็นผู้เสนอโมเดลที่ชัดเจน  เขาบอกว่า “อยากที่จะให้มีคนในสังคมไทยที่กล้าที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น มากกว่าที่จะนำเสนอโมเดล(รูปแบบ)เอง” 
 
นางมาโฮ นากายาม่า เจ้าหน้าที่มูลนิธิสันติภาพซาซากาว่า (SPF), ประเทศญี่ปุ่นซึ่งสนับสนุนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย กล่าวถึงการหนุนเสริมสันติภาพจากคนภายนอกว่า ความสนใจของประเทศอื่นๆ ในการสร้างสันติภาพทำให้มีการสนับสนุนองค์กรในพื้นที่ในการทำกิจกรรมต่างๆ หรืออาจจะช่วยในการลดการใช้อาวุธลง  ซึ่งมูลนิธิสันติภาพซาซากาว่าไม่ได้มาพร้อมกับโมเดลว่า จะต้องทำกระบวนการสันติภาพอย่างไร แต่ว่าอยากให้เป็นความริเริ่มของคนในพื้นที่
 
นางมาโฮเสนอว่าจะต้องพยายามสร้างการพูดคุยและทำให้เครือข่ายองค์กรชุมชนเข้มแข็ง เพื่อนำความคิดที่หลากหลายมาผลักดันให้เป็นวาระร่วมที่เป็นรูปธรรมได้ และต้องมีการพัฒนาทักษะในการขับเคลื่อนและการบริหารจัดการองค์กรด้วย รวมทั้งการสร้างพันธมิตรในจังหวัดอื่นๆ ในเรื่องกระจายอำนาจ และการสร้างเครือข่ายกับชุมชนของคนในโลกมาเลย์
 
“ไม่สร้างบรรยากาศประชาธิปไตย ก็แก้ปัญหาไม่ได้”
 
นายอะหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องสร้างบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในพื้นที่ หากไม่มีบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตยก็ไม่มีทางจะแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นต้องยกเลิกกฎหมายพิเศษที่ใช้อยู่ในพื้นที่ เพราะเป็นอุปสรรคต่อความเป็นประชาธิปไตย และการแก้ปัญหานั้นต้องไม่มุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเพียงแนวทางเดียว เช่น การปราบปราม เพราะฉะนั้นต้องมีหลายๆ แนวทางในการแก้ปัญหา
 
ภาคประชาสังคมต้องสร้างข้อเสนอร่วม
 
นาย Nur Khalis ที่ปรึกษาสถาบันช่วยเหลือทางกฎหมาย (Lembaga Bantuan Hukum - LBH), ประเทศอินโดนีเซีย กล่าวถึงบทบาทของภาคประชาสังคมในการแก้ปัญหาความรุนแรงว่า ความท้าทายของภาคประชาสังคมคือจะต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐบาลและกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งก็เป็นเรื่องยากเพราะว่าเป็นเรื่องความปลอดภัยของนักเคลื่อนไหวด้วย ประชาสังคมเองก็ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงด้วยในบางครั้ง
 
เขากล่าวว่า ภาคประชาสังคมจะต้องเสนอทางเลือก และจะต้องพัฒนาศักยภาพ และการศึกษาวิจัยและการรณรงค์ทางการเมือง ภาคประชาสังคมจะต้องสร้างข้อเสนอร่วมและเตรียมการที่จะดำเนินการกระบวนการสันติภาพ
 
นาย Nur Khalis กล่าวด้วยว่ากลุ่มของนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนได้มีบทบาทสำคัญในช่วงทีมีการต่อสู้ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในอาเจะห์ เช่น การเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายพิเศษ การมีบทบาทในการเป็นตัวกลางในการพูดคุยเพื่อสันติภาพ
 
นโยบายรัฐไทยไม่ชัดเจน เอ็นจีโอต่างชาติทำงานยาก
 
นาย Khairil Anwar ผู้ประสานงานอาเซียน องค์กร ARM จากประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า คนมาเลเซียกับคนปัตตานีมีความใกล้ชิดกัน รัฐมนตรีของมาเลเซียหลายคนมีบรรพบุรุษที่มาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย  เมื่อองค์กรพัฒนาเอกชนในมาเลเซียจะพูดถึงปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยจึงเป็นเรื่องที่อ่อนไหว คนมาเลเซียยังมองเอ็นจีโอในแง่ลบอยู่
 
นาย Khairi กล่าวว่า นโยบายของอาเซียนที่ไม่แทรกแซงปัญหาภายในของแต่ละประเทศ ยิ่งทำให้เอ็นจีโอพูดถึงปัญหาประเทศเพื่อนบ้านยากขึ้นไปอีก ทำให้มองไม่เห็นบทบาทเอ็นจีโอในระดับภูมิภาคอาเซียน หรือมีแต่ก็ไม่ได้มีการพูดคุยกัน เพราะฉะนั้นเอ็นจีโอในภูมิภาคต้องมีการสร้างความสัมพันธ์ที่มากกว่านี้ 
 
เขาระบุว่าสำหรับปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มองว่ารัฐบาลไทยไม่มีนโยบายที่ชัดเจน เช่น บางหน่วยงานมีนโยบายการเจรจาสันติภาพแต่บางหน่วยไม่เห็นด้วย ซึ่งการที่ นโยบายไม่ไปในทิศทางเดียวกันทำให้เอ็นจีโอต่างชาติเข้ามาทำงานยาก และเอ็นจีโอที่ผลักดันให้รัฐลงมาทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมในประเทศไทยเองก็ยังมองไม่เห็น ส่วนเรื่องที่ให้คนกลางที่เป็นคนในมาสร้างสันติภาพนั้น ARM เห็นด้วย แต่ยังไม่เห็นภาคประชาชนออกมากดดันในเรื่องนี้มากนัก
 
ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารสันติภาพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พูดว่าปัญหาของรัฐไทยก็คือเรื่อง “ความชอบธรรมบกพร่อง” ส่วนปัญหาของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบคือ “การตาบอด” เพราะการใช้ความรุนแรงซึ่งทำให้มีคนตายกว่า 5,000 คน  แม้ว่าอาจจะไม่ทั้งหมดที่จะตายด้วยน้ำมือของขบวนการก่อความไม่สงบ
 
ผมคิดว่ากลุ่มขบวนการนั้นเป็นกลุ่มที่มีเหตุมีผล ไม่ได้เป็นคนที่เสียสติ   ซึ่งในมุมของพวกเขา  การต่อสู้ของพวกเขา “มีความชอบธรรม”  ซึ่งเราจำเป็นจะต้องหาว่าความจริงคืออะไร   ขบวนการนั้นมีความไม่เป็นเอกภาพ 
 
ผมคิดว่าการต่อสู้ของขบวนการนั้นได้รับอิทธิพลจากบริบทในกระแสโลกในแต่ละช่วงเวลา เช่น  จากการต่อสู้แบบชาตินิยมเพื่อเอกราช มาสู่การปฏิวัติของอิสลามจนมาถึง Arab Spring  
ศ.ดร.ชัยวัฒน์กล่าวว่าตอตั้งคำถามว่าจะช่วยพวกขบวนการได้อย่างไรเพื่อให้พวกเขาหยุดใช้ความรุนแรง   ซึ่งตนคิดว่าขบวนการจำเป็นที่จะต้องเข้าใจผลกระทบของความรุนแรงต่อการต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา  เขาจะต้องเข้าใจหลักการเรื่องสันติวิธี  ในประเทศตูนีเชีย  ผู้นำการเคลื่อนไหวคนหนึ่งกล่าวว่าเมื่อใช้ความรุนแรงเมื่อใด ความชอบธรรมของพลังประชาชนก็หมดไป 
ศ.ดร. ชัยวัฒน์ยกตัวอย่างว่าในช่วงปี ค.ศ. 1940 – 2006 มีสถิติชี้ว่าความสำเร็จของการต่อสู้ด้วยความรุนแรงได้ลดลงจาก 40 เป็น 10 เปอร์เซ็นต์  ในขณะที่ความสำเร็จของการต่อสู้ด้วยสันติวิธีเพิ่มขึ้นจาก  40 เป็น 70 เปอร์เซ็นต์  
 
ศ.ดร.ชัยวัฒน์ทิ้งท้ายว่า มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องเริ่มต้นการสร้างกระบวนการสันติภาพที่มีความหมาย ซึ่งจะต้องรวมเอาคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดเข้ามาเกี่ยวข้อง  การพูดคุยจะต้องทำอย่างเปิดเผย ซึ่งสุดท้ายเป็นเรื่องที่คนในพื้นที่เองจะต้องเลือกว่าต้องการจะมีชีวิตอยู่ในสังคมเช่นไร 
 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net