Skip to main content
sharethis

คำพิพากษาศาลฎีการะบุ 'อภิชาต พงศ์สวัสดิ์' ชูป้ายต้านรัฐประหาร ถือว่ามีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 ชุมนุมตั้งแต่ 5 คน โดยให้ปรับ 6,000 บาท โดยถือว่าคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 แม้จะยกเลิกไปแล้ว แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการดำเนินคดีที่ได้มีขึ้นก่อนยกเลิก

การชุมนุมหน้าหอศิลป์ กทม. เมื่อ 23 พฤษภาคม 2557 (แฟ้มภาพ/ประชาไท)

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) เปิดเผยว่าวันนี้ (8 พ.ย. 62) ศาลแขวงปทุมวัน มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่อภิชาตชูป้ายคัดค้านรัฐประหารข้อความ "ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน" หน้าหอศิลปวัฒนธรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) เหตุเกิดเมื่อ 23 พ.ค. 57

ทั้งนี้เป็นการนัดฟังคำพิพากษาใหม่ หลังจากที่เดิมศาลได้นัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 62 แต่เนื่องจากทางจำเลยทำคำแถลงต่อศาลว่ามีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ในส่วนของการห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนไปเมื่อเดือนธันวาคม 2561 แล้ว ศาลจึงปิดผนึกคำพิพากษาพร้อมแนบคำแถลงของฝ่ายจำเลยกลับไปให้ศาลฎีกา แล้วจึงมีการนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 8 พ.ย. ดังกล่าว

โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้นายอภิชาต มีความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ข้อ 12 ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคน โดยให้ลงโทษปรับเป็นจำนวนเงิน 6,000 บาท

ทั้งนี้แม้ว่าเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ระหว่างการพิจารณาคดี ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 22/2561 ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 เฉพาะข้อ 12 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคน แต่ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ฯ ฉบับที่ 22/2561 ข้อ 2 ได้ระบุว่า "การยกเลิกบรรดาประกาศ/คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามข้อ 1 ไม่กระทบกระเทือนถึงการดำเนินคดี การดำเนินการ หรือการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งที่ได้กระทำไปก่อนการยกเลิกโดยคำสั่งนี้" อภิชาตจึงยังมีความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ฯ ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 อยู่

เตรียมฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดี 'อภิชาต' ชูป้ายต้านรัฐประหาร, 23 ตุลาคม 2562

ชูป้ายค้านรัฐประหาร-ถูกควบคุมตัวด้วยกฎอัยการศึก-ก่อนสั่งปรับ 6 พันที่ศาลฎีกา

สำหรับคดีของอภิชาต เกี่ยวข้องกับการต่อต้านรัฐประหารคดีแรกๆ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ภายหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพียง 1 วัน กลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งได้ออกมาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่บริเวณหน้าหอศิลป์ฯ เพื่อคัดค้านการรัฐประหาร ซึ่งอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ ก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมทำกิจกรรมในครั้งนั้น กลุ่มประชาชนที่ออกมาคัดค้านรัฐประหารในวันนั้นได้แสดงสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงการคัดค้านรัฐประหาร ส่วนใหญ่จะเป็นป้ายข้อความในกระดาษ A 4 ที่เตรียมกันมาเอง ในส่วนของอภิชาตได้มีการชูป้ายข้อความว่า “ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน” และในช่วงค่ำของวันนั้นเอง เจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าเคลียร์พื้นที่และสลายกลุ่มประชาชน อภิชาตถูกทหารจับกุมและถูกนำตัวไปควบคุมไว้ภายใต้อำนาจของกฎอัยการศึก 7 วัน

ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2558 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ยื่นฟ้องอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ ข้อหาฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 ชุมนุมมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวานในบ้านเมือง ไม่เลิกชุมนุมเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก และขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามหน้าที่ตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคแรก มาตรา 216 และมาตรา 368 เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1097/2559 คดีหมายเลขแดงที่ 9075/2559

อภิชาตและทีมทนายความได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นไม่ได้เป็นความผิด แต่เป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญและเป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ

สำหรับคำพิพากษาศาลชั้นต้นครั้งแรก เมื่อ 11 ก.พ. 59 ศาลยกฟ้องระบุว่าเพราะพนักงานกองปราบปรามสอบสวนมิชอบ ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดได้อุทธรณ์คำพิพากษา โดยศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงปทุมวันพิจารณาและพิพากษาใหม่

โดยศาลชั้นต้นครั้งที่สองเมื่อ 19 ธ.ค. 59 ศาลมีคำพิพากษาใหม่ว่า อภิชาตมีความผิดตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 ให้พิจารณาโทษตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ  และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคแรก เป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก 2 เดือน และปรับ 6,000 บาท  แต่เนื่องจากศาลเห็นว่าจำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นควรให้โอกาสในการกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

ก่อนที่วันที่ 31 พ.ค. 61 ศาลอุทธรณ์จะกลับคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 แต่ไม่ลงโทษจำคุกจำเลย ให้ลงโทษเฉพาะโทษปรับ ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคแรกนั้น ศาลอุทธรณ์ยก ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ดังกล่าว (อ่านข้อมูลเพิ่มเติม)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net