Skip to main content
sharethis

พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรม ‘ขอบคุณประชาชน ฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายกฯ’ ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ 'พิธา' ปราศรัย "ถึงเวลาคืนความปกติให้ระบบการเมืองไทย คืนศรัทธาให้ประชาชน"

เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2566 พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรม ‘ขอบคุณประชาชน ฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายกฯ’ ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี ส.ส.พรรคก้าวไกล มาร่วมงานอย่างคึกคัก โดยก่อนเริ่มงานมีฝนโปรยปรายลงมา แต่ประชาชนยังคงปักหลักจับจองพื้นที่รอฟังการปราศรัยของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมถึงผู้ปราศรัยรายอื่นๆ ที่ได้รับเชิญร่วมเวที

ทิชา ณ นคร นักสิทธิเด็กและสตรี อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)  ได้ปราศรัยขอให้ ส.ว. ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ มีวิสัยทัศน์ เพื่อประวัติศาสตร์ที่สง่างามของระบอบประชาธิปไตย

"ดิฉันได้รับคำถาม ว่าอะไรคือความฝัน อะไรคือความหวัง เมื่อเรามีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30?"

"ตั้งแต่เลือกตั้งมาจนถึงวันนี้ ฝุ่นยังตลบ ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจน จึงยังพูดไม่ได้ว่าความฝันและความหวังของเราอยู่ที่ไหน"

"แต่สิ่งที่พูดได้อย่างชัดเจนตอนนี้ เพื่อให้ดังไปถึงสภาฯ คือนายกรัฐมนตรีต้องมาจากระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยต้องยึดหลักเสียงข้างมาก ซึ่งหมายถึงการเคารพการตัดสินใจของประชาชนอย่างเคร่งครัดและจริงจัง"

"เนื่องจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนได้ถ่ายโอนอำนาจในฐานะปัจเจกบุคคลให้ผู้แทนหรือ ส.ส. หากผู้แทนใช้อำนาจนั้นไม่เป็นไปตามที่เขาหาเสียง อีก 4 ปีประชาชนจะริบอำนาจนั้นกลับคืนและมอบให้ผู้แทนคนอื่น จึงไม่มีข้อห่วงใยใดที่ ส.ว. ต้องกังวลใจ"

"ดิฉันเชื่อว่าประชาชนที่อยู่ตรงนี้ คงรู้สึกเหมือนกันว่าเราเฝ้าดูพรรคก้าวไกลเติบโต แต่ถ้าเมื่อไรที่พรรคก้าวไกลไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ประชาชนก็สามารถเปลี่ยนใจได้ จึงขอให้ ส.ว. เคารพต่อเจตจำนงของประชาชนที่ได้ตัดสินใจเลือกพรรคก้าวไกลไปแล้ว ปล่อยให้ระบบประชาธิปไตยดำเนินไปตามครรลอง ส.ว. ไม่มีหน้าที่คัดค้าน หรือทำให้ความฝันความหวังของประชาชนดับสิ้นลงเหมือนหลายปีที่ผ่านมา"

"นายกฯ คนที่ 30 ต้องเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน ไม่ว่าคนที่เลือกเขาหรือไม่เลือกเขา โดยส่วนตัวดิฉันเชื่อโดยสนิทใจว่า ครั้งนี้ประเทศไทยกำลังจะรีสตาร์ทระบบประชาธิปไตยครั้งยิ่งใหญ่ ที่สำคัญคือเป็นการเดิมพันด้วยปัญญา ด้วยหัวใจ และด้วยศรัทธาของผู้คนมหาศาล ดังนั้นจึงมีพลังพอที่จะลบบาดแผล ลบความบอบช้ำของสังคมไทยซึ่งมีมายาวนาน"

"แม้นาทีนี้ฝุ่นยังไม่จาง เส้นทางที่เราจะพานายกฯ คนที่ 30 เข้าสภาฯ ก็ยังมองเห็นไม่ชัด แต่ดิฉันเชื่อและมีความหวังว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะบันทึกไว้ว่านายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย จะชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ อย่างแน่นอน เหตุผลสำคัญคือกว่า 14,000,000 เสียงจากการเลือกตั้งภายใต้ระบบประชาธิปไตย เป็นเสียงข้างมากที่เพียงพอ"

"เมื่อพิธาเป็นนายกฯ เรามีความหวังและความเชื่อ ว่าเขาจะนำระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ประมุข ไปรับมือกับกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลก ถึงที่สุดคนหนุ่มสาวเท่านั้นที่จะเป็นผู้รับมือกับความท้าทายนี้ได้ และเราต้องมอบพันธกิจนี้ให้พวกเขา เราเชื่อว่าพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่จะพาประเทศไทยไปตรงนั้น"

"สุดท้าย ขอขอบคุณ ส.ว. ซึ่งในเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง คุณคือสติปัญญาของสังคมที่สำคัญ คือเสาหลักของประชาธิปไตย ขอให้ทุกการตัดสินใจของ ส.ว. ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคม เป็นการตัดสินใจอย่างกล้าหาญ มีวิสัยทัศน์ และยินดีให้คนหนุ่มสาวนำทัพนำทาง เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศนี้ เปลี่ยนเป็นประวัติศาสตร์ที่สง่างาม มีคุณค่า สำหรับลูกหลานของพวกเราทุกคน"

มารีญา พูลเลิศลาภ นักแสดงและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวถึงพื้นฐานของการพัฒนาทุกความหวัง คือความหวังแห่งประชาธิปไตย 

"วันนี้ได้มายืนอยู่ท่ามกลางความหวัง เชื่อว่าความหวังของทุกคนจะขับเคลื่อนเป็นพลังที่ดีของประเทศไทย"

"ไม่ว่าจะเป็นความหวังด้านคุณภาพชีวิต ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา และสิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาทุกความหวัง คือความหวังแห่งประชาธิปไตย"

"ที่ผ่านมา ได้มีส่วนร่วมในหลายโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เช่น ประเด็นสวัสดิภาพช้าง เชื่อมั่นว่ารัฐบาลชุดใหม่จะขับเคลื่อนกฎหมายเพื่อดูแลช้างไทยอย่างยั่งยืน"

"นอกจากนี้ จากการพูดคุยกับเยาวชน รับรู้ว่าความฝันของหลายคนถูกจำกัด ไม่ว่าจะด้วยระบบการศึกษา ครอบครัว หรือค่านิยมของสังคมไทย จึงคิดว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับความฝันที่หลากหลายของเยาวชน เพื่อให้พวกเขาร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย"

"นอกจากความหวัง อีกสิ่งที่สำคัญคือความรัก เสรีภาพที่จะรักและใช้ชีวิตร่วมกันจึงไม่ควรถูกจำกัดด้วยกฎหมาย แต่กฎหมายควรสามารถทำให้ความรักมีความเท่าเทียมและเสมอภาคสำหรับคนทุกคน"

จากนั้นพิธาขึ้นปิดท้ายเวที ปราศรัยระบุว่าถึงเวลาคืนความปกติให้ระบบการเมืองไทย คืนศรัทธาให้ประชาชน

"เหลือเวลาเพียง 4 วันเท่านั้น จะเป็นเวลาประวัติศาสตร์ ทั่วโลกกำลังจับตาดูว่าประเทศไทยจะเดินไปทิศทางไหน เป็นเรื่องของนักการเมืองทั้ง 2 สภา ที่ต้องตัดสินใจร่วมกันว่าอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร"

"ถ้าเราตัดสินใจถูกต้อง ให้โอกาสประเทศไทยอยู่กับอนาคต ประเทศไทยจะเจริญไม่เป็นสองรองใคร แต่ถ้าเราฝืนมติประชาชน ทำให้ความไม่ปกติของการเมืองไทยคงอยู่ต่อไป ผมไม่รู้ว่าโอกาสทองแบบนี้จะมาอีกครั้งเมื่อไร"

"การคืนความปกติให้การเมือง เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ทั่วประเทศ ให้คะแนนพรรคก้าวไกลกว่า 14 ล้านเสียง ให้คะแนนพรรคเพื่อไทยกว่า 10 ล้านเสียง รวม 8 พรรคเสียงข้างมากกว่า 27 ล้านเสียง หรือกว่า 70% ของคนไทยออกมาบอกแล้วว่าประเทศไทยต้องไม่เหมือนเดิม"

"แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เพราะความไม่ปกติของการเมืองไทยที่มาจากรัฐธรรมนูญ 2560 การยึดอำนาจ นิติสงคราม การยุบพรรค ทำให้การเลือกตั้งที่ดูเหมือนจะเสร็จก็ไม่เสร็จเสียที ครั้งนี้คือโอกาสประวัติศาสตร์ที่นักการเมืองในรัฐสภาจะคืนความปกติให้การเมืองไทย ให้ประเทศไทยเดินหน้า ให้เราเท่าเทียมกันและเท่าทันโลก"

"ผมขอส่งสารไปถึงประชาชน เราพิสูจน์แล้วว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเราร่วมมือกัน วันที่ 13 กรกฎาคม ผมพร้อมเป็นนายกฯ ของทุกคน ขอให้พิธาได้รับใช้ประชาชนทุกคน"

"ขอส่งสารถึงเพื่อน ส.ส. เราต่างผ่านความไม่ปกติของระบบการเมืองไทย การตัดสินใจของท่านสามารถคืนความปกติให้ประเทศไทย อย่าพลาดโอกาสนี้ เพราะประชาชนอาจหมดศรัทธาในผู้แทนราษฎรและระบบรัฐสภา ดังนั้นอย่าให้ประชาชนต้องผิดหวัง"

"ส่วน ส.ว. แม้ว่าที่มาของเราจะแตกต่างกัน แต่เราคือนักการเมืองของประชาชนเหมือนกัน ผมขอแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญของ ส.ว. ที่บอกว่าจะเป็น ส.ว. ของประชาชน ที่จะลงมติตามเสียงข้างมาก ไม่โหวตสวนมติของประชาชน"

"ผมอาจไม่ได้เป็นนายกฯ ที่สมบูรณ์แบบ แต่จะเป็นนายกฯ ที่ขยันที่สุด ผมอาจไม่มีคำตอบกับทุกเรื่องที่เป็นความท้าทายใหม่ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น โรคอุบัติใหม่ สังคมสูงวัย ภาวะโลกร้อน ไม่มีใครในประเทศไทยที่มีประสบการณ์แก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ขอสัญญาว่าเมื่อคิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องใดไม่ออก ผมจะกลับมาหาประชาชน รับฟังและพูดคุยกับประชาชน ทำเพื่อประชาชน"

"ผมสัญญาไม่ได้ว่าการเดินทางของพวกเราจะราบรื่น ทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค แต่ตราบใดพวกเรายังเดินด้วยกัน รับรองว่าจะคุ้มค่าแน่นอน ยืนยันไม่มีเหน็ดเหนื่อย ไม่ท้อ ถึงเวลาที่ประเทศนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยความหวัง พอกันทีกับความกลัว"

"วันนี้แม้ยังมีความมืด แต่ผมให้สัญญาว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันของประชาชนที่สว่างไสว ขอให้เราร่วมมือกัน เปลี่ยนประเทศไทยและเปลี่ยนโลกใบนี้ไปด้วยกัน"

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net