Skip to main content
sharethis

 

ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาคดีที่จำเลย 4 คนถูกกล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับการบังคับบุคคลให้สูญหายและการฆาตกรรม พอละจี รักจงเจริญ หรือ 'บิลลี่' นักปกป้องสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองชาวกะเหรี่ยง”  28 ก.ย.นี้ แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องการตัดสินคดีต้องไม่ปล่อยให้คนผิดลอยนวล ชี้เป็นบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ของกระบวนการยุติธรรม

 

27 ก.ย.2566 ฝ่ายสื่อสารองค์กร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ ในคดีที่จำเลย 4 คนถูกกล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับการบังคับบุคคลให้สูญหายและการฆาตกรรม พอละจี รักจงเจริญ” หรือ “บิลลี่” นักปกป้องสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองชาวกะเหรี่ยง”  

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิก ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอย่างกล้าหาญของบิลลี่ เป็นเหตุให้เขาต้องเสียชีวิต และทำให้ครอบครัวของเขาต้องตกอยู่ในภวังค์แห่งฝันร้าย เพราะต้องเผชิญกับความบอบช้ำทางจิตใจ เกิดความสงสัย และต้องการทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับการหายตัวไปของบิลลี่ ระหว่างที่พวกเขาพยายามค้นหาความจริง พวกเขาควรได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับบิลลี่ และต้องค้นหาความจริงเพื่อตามหาผู้รับผิดชอบต่อการฆาตกรรมที่น่าสะเทือนขวัญครั้งนี้ โดยจะต้องนำผู้กระทำความผิดมารับการตัดสินเพื่อนำไปสู่การรับผิดตามกระบวนการยุติธรรม 

“การพิพากษาที่กำลังจะมีขึ้นนี้ ล่าช้ามาเป็นระยะเวลายาวนาน และจะเป็นเสมือนบททดสอบสำคัญต่อระบบยุติธรรมของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการให้ความยุติธรรมกับเหยื่อของการบังคับบุคคลให้สูญหายมานานเกินกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว ฝ่ายตุลาการมีโอกาสที่จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการแก้ปัญหาการบังคับบุคคลให้สูญหาย โดยรับประกันให้เกิดการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นโอกาสที่ทางการไทยจะแสดงความเป็นผู้นำ ด้วยการทำให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั่วประเทศทราบว่า วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดจะต้องยุติลง คนที่กระทำความผิดต้องได้รับโทษ และทางการจะไม่ยอมอนุญาตให้มีการบังคับให้บุคคลใดต้องสูญหายอีกต่อไป” 

ชนาธิป กล่าวอีกว่า รัฐบาลใหม่ของไทยยังจะต้องให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย (ICPPED) รวมทั้งพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (OPCAT) โดยทันที เพื่อแสดงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรมที่โหดร้าย แบบที่เกิดขึ้นกับบิลลี่ได้อีก และผู้กระทำจะต้องรับผิดรับชอบโดยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็ว 

ข้อมูลพื้นฐาน

ฝ่ายสื่อสารองค์กร แอมเนสตี้ฯ ระบุข้อมูลพื้นฐานของคดีนี้ด้วยว่า บิลลี่ถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 หลังจากที่เขาเดินทางออกจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย โดยมีข้อกล่าวหาว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่อุทยานควบคุมตัวไว้ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าครอบครองน้ำผึ้งป่าอย่างผิดกฎหมาย   

ในช่วงที่ถูกจับกุม บิลลี่อยู่ระหว่างเดินทางไปประชุมกับชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ เพื่อเตรียมตัวก่อนจะมีการไต่สวนคดี ซึ่งชาวบ้านได้ฟ้องเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ เหตุบังคับไล่รื้อชุมชนชาวกะเหรี่ยง ของพวกเขา และเผาบ้านเรือนของพวกเขา บิลลี่ยังขนย้ายเอกสารจำนวนมากเกี่ยวกับคดีติดตัวไปด้วย และไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเอกสารเหล่านี้อีก  

5 ปีต่อมาในวันที่ 3 ก.ย. 2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษแถลงว่าพบเศษซากศพของบิลลี่ในถังน้ำมันที่ถูกเผา บริเวณก้นอ่างเก็บน้ำอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเป็นจุดที่เขาหายตัวไประหว่างถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เสนอให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อเจ้าหน้าที่อุทยาน 4 คน ที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุมและควบคุมตัวบิลลี่ รวมทั้งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติและเจ้าหน้าที่อีก 3 คน   

แม้จะมีความคืบหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในการสอบสวน พนักงานอัยการของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 กลับ สั่งไม่ฟ้องในทุกข้อกล่าวหา ตามที่เสนอโดยเมื่อเดือนมกราคม 2563 ในเดือนสิงหาคม 2563 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้อุทธรณ์คำสั่งของสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) อีกสองปีต่อมา ได้เกิดจุดเปลี่ยนที่สำคัญเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 โดย อสส.ได้พิจารณาสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาทั้งสี่คนใน 5 ข้อหา รวมทั้งลักพาตัวและฆาตกรรมบิลลี่ ซึ่งทั้ง 4 คนให้การปฏิเสธ  

พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายของไทย เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ก่อนหน้านั้น  แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเคยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการเพื่อ รับประกันให้การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยสอดคล้องตามกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ดี เนื่องจากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ หลังการสั่งฟ้องเจ้าหน้าที่ทั้งสี่คนในคดีของบิลลี่ พวกเขาจึงไม่ถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดเกี่ยวกับการบังคับให้บุคคลสูญหายในกฎหมายใหม่นี้แต่อย่างใด  

แม้จะประกาศใช้กฎหมายในประเทศ รัฐบาลไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบันรับรองต่ออนุสัญญา ICPPED และพิธีสาร OPCAT ทั้งนี้ เมื่ออ้างอิงตามข้อมูลจากของ คณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ประเทศไทยยังมีบุคคลที่เป็นเหยื่อการบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศไทยอยู่อีก 76 ราย โดยเป็น ผู้ชาย 70 คนและ ผู้หญิง 6 คน 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net