Skip to main content
sharethis

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองขอให้ นายกฯ และ รมว.กลาโหม สั่งการกอ.รมน./กองทัพภาค 4 ให้ยุติการดำเนินคดีปิดปากนักกิจกรรม และขอให้ รมว.ยุติธรรมนำหลักนิติธรรมมาสู่ชายแดนใต้

8 ม.ค.2567 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ออกจดหมาย ถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถอนฟ้องและยุติการดำเนินการคดีที่เป็นการใช้กฎหมายปิดปากนักกิจกรรม นักศึกษา ศิลปิน และสื่อมวลชนภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อมิให้การดำเนินคดีดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ทั้งนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างสันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งเป็นแนวนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ หากสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวและการแสดงความคิดเห็นของประชาชนยังถูกกดทับและผู้คนยังต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวจากการใช้เครื่องมือทางกฎหมายของรัฐบีบบังคับจิตใจและความรู้สึก

และเรียกร้องถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องกำกับดูแลการทำงานของกองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมตามหลักสากล ไม่ขัดแย้งกับแนวทางการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ และมีบทบาทในการสร้างสันติภาพ รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต้องไม่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา โดยต้องเข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายสถานการณ์นี้ ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนชายแดนใต้ว่า จะนำหลักนิติธรรมกลับคืนมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

โดยมีรายละเอียดข้อเรียกร้องดังนี้ : 

 

เรียน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

ตลอดปี 2566 จนถึงปัจจุบัน มีนักกิจกรรม นักศึกษา ศิลปิน และสื่อมวลชนภาคประชาสังคม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีโดยกองทัพภาคที่ 4 / กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) รวมเกือบ 40 คนแล้ว พวกเขาถูกกล่าวโทษจากการทำกิจกรรมทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายทอดสดเพื่อรายงานสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง (เช่น การปิดล้อมชุมชน การวิสามัญฆาตกรรม)  การเปิดเพจระดมทุนเพื่อช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ครอบครัวของประชาชนที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม การจัดงานเสวนาว่าด้วยสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง/สันติภาพปาตานี และล่าสุดคือ การตั้งข้อหาจากการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมของเยาวชนที่รวมตัวกันแต่งกายชุดมลายูพื้นเมือง กรณีนี้ทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนักกิจกรรมจำนวน 9 คน โดยมีกำหนดไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจภูธรสายบุรี จ.ปัตตานี ในวันอังคารที่ 9 มกราคม 2567 นี้ อนึ่ง นักกิจกรรม นักศึกษา และสื่อมวลชนภาคประชาสังคม เหล่านี้ ล้วนถูกตั้งข้อหาที่มีความร้ายแรงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อหาการขัดขวางการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ข้อหาต่อสู้และข่มขืนใจเจ้าพนักงาน ข้อหาการนำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ความผิดฐานกบฏ อั้งยี่ ซ่องโจร และความผิดฐานยุยงปลุกปั่น ปัจจุบันบางคดีอยู่ในชั้นตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และบางคดีอยู่ในชั้นอัยการ และคาดว่ายังจะมีการทยอยออกหมายเรียกให้ไปข้อกล่าวหาอีกอย่างต่อเนื่อง

การดำเนินคดีเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น เนื่องจากการทำกิจกรรมของนักกิจกรรม นักศึกษา ศิลปิน และสื่อมวลชนภาคประชาสังคม ล้วนเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทั้งหมดเป็นกิจกรรมที่เปิดเผย สงบ และสันติ เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมในการพัฒนา และการสร้างสันติภาพชายแดนใต้ อีกทั้งการรวมตัวเพื่อทำกิจกรรมของประชาชนถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐจะต้องไม่ขัดขวาง การดำเนินคดีที่เกิดขึ้นเป็นการใช้กฎหมายปิดปาก (SLAPP LAW) เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ขาดความสมเหตุสมผลทางกฎหมาย ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มักอ้างว่าจำเป็นต้องแจ้งความกล่าวโทษต่อบุคคลเหล่านี้ เนื่องกิจกรรมของพวกเขามีเนื้อหาที่สร้างความ "ไม่สบายใจ" ให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี การนำเสนอความคิดเห็น ความเชื่อ หรือความฝันที่อยากเห็นนั้นเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญรับรอง สอดคล้องกับทุกสังคมที่ถือตนว่าเป็นประชาธิปไตย รัฐไม่มีสิทธิมาห้ามความคิด ความเชื่อ และความฝันของประชาชน ในทางกลับกันรัฐควรพึงตระหนักและตั้งใจฟัง มิเช่นนั้นก็จะเป็นการกดทับ สร้างความตึงเครียดในพื้นที่ ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อรัฐให้รุนแรงยิ่งขึ้น อันจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

แม้การดำเนินคดีบางส่วนจะเกิดขึ้นมาก่อนหน้าที่จะมีรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่เมื่อได้สิทธิอำนาจในการบริหารประเทศมาแล้ว รัฐบาลนี้ก็มีหน้าที่ต้องคลี่คลายสภาพการณ์ปัญหาดังกล่าว ดังนั้น เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) จึงขอเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดังนี้

  1. นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ต้องสั่งการให้กองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถอนฟ้องและยุติการดำเนินการคดีที่เป็นการใช้กฎหมายปิดปากนักกิจกรรม นักศึกษา ศิลปิน และสื่อมวลชนภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อมิให้การดำเนินคดีดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ทั้งนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างสันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งเป็นแนวนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ หากสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวและการแสดงความคิดเห็นของประชาชนยังถูกกดทับและผู้คนยังต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวจากการใช้เครื่องมือทางกฎหมายของรัฐบีบบังคับจิตใจและความรู้สึก
  2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องกำกับดูแลการทำงานของกองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมตามหลักสากล ไม่ขัดแย้งกับแนวทางการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ และมีบทบาทในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนใต้ได้อย่างแท้จริง โดยกองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องไม่ลุแก่อำนาจ ต้องไม่เป็นผู้สร้างเงื่อนไขหรือเป็นอุปสรรคต่อสันติภาพชายแดนใต้เสียเอง
  3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต้องไม่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา โดยต้องเข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายสถานการณ์นี้ ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนชายแดนใต้ว่า จะนำหลักนิติธรรมกลับคืนมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งทำตามเนื้อหาในสารอวยพรปีใหม่พุทธศักราช 2567 ของรัฐมนตรีฯ เองที่ว่า “...ความยุติธรรม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนที่มีความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม และอุดมการณ์ ที่เป็นปรากฎการณ์ของสังคมพหุวัฒนธรรม ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีสันติภาพและสันติสุข ภายใต้หลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง” นอกจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต้องทบทวนบทบาทของหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษชายแดนภาคใต้ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ต่อการออกหมายเรียกผู้ต้องหาต่อนักกิจกรรม/องค์กรภาคประชาสังคมกลุ่ม “พ่อบ้านใจกล้า” เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาด้วยว่าเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่

ด้วยความเคารพในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.)

8 มกราคม 2567

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net