Skip to main content
sharethis

เด็กไร้สัญชาติ-หนีภัยสงครามกลางเมืองพม่า 19 ราย อายุ 5-17 ปี ถูกออกจาการเรียนที่ลพบุรีกลางคัน รัฐต่อผลักดันกลับประเทศ ด้านมูลนิธิบ้านครูน้ำ ร้อง กสม.สอบหน่วยงานรัฐละเมิดสิทธิเด็ก

 

23 มี.ค. 2567 สำนักข่าวชายขอบ รายงานวันนี้ (23 มี.ค.) นุชนารถ บุญคง ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านครูน้ำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบ้านครูน้ำ ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อขอให้ กสม. ตรวจสอบเรื่องการละเมิดสิทธิและคุ้มครองหน่วยงานที่ทำงานด้านเด็ก เนื่องจากเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา เด็กชายไร้สัญชาติจำนวน 19 คน อายุระหว่าง 5-17 ปี ถูกส่งกลับมาจากวัดสว่างอารมณ์ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มายังมูลนิธิบ้านครูน้ำ และถูกนำตัวไปยังบ้านพักเด็กในกลางดึกคืนทันที ทำให้ทางมูลนิธิฯ มีความกังวลใจ เนื่องจากตอนแรกมีข้อตกลงร่วมกันตรวจสอบและดำเนินการอย่างละมุนละม่อมในการคุ้มครองดูแลเด็กตามกระบวนการ

นุชนารถ กล่าวว่า เมื่อเด็กชายทั้งหมดมาถึงกลับไม่เป็นไปตามข้อตกลง โดยมีการควบคุมตัวเด็กอย่างเข้มงวด แยกเด็กไม่ให้พบญาติพี่น้อง และมูลนิธิฯ ไม่ให้พักที่บ้านพักมูลนิธิฯ 1 คืนตามที่ตกลง และสิ่งที่ทางมูลนิธิฯ พยายามเจรจาผ่านสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) คือขอให้เด็กได้เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อน แล้วจึงนำกลับมาจากจังหวัดลพบุรี เพื่อให้เด็กสามารถศึกษาต่อในที่ใหม่ได้

"เราทราบว่าเขากำลังจะตรวจสอบมูลนิธิฯ ซึ่งทำให้เสี่ยงที่จะถูกสั่งปิด และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ในขณะที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีการทำงานช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนตามตะเข็บชายแดน และคุ้มครองเด็กให้พ้นจากความเสี่ยงการค้ามนุษย์ และทำงานร่วมกับทางการหลายกรณี แต่ตอนนี้ไม่สามารถติดต่อเด็กๆ ได้ และทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขออย่าเพิ่งติดต่อไป ขอดำเนินการสอบเด็กๆ และขอเอกสารข้อมูลการเกิด พ่อแม่ เพื่อยืนยันเพื่อส่งกลับ" ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ กล่าว 

นุชนารถ กล่าวว่า เด็กทั้ง 19 คน เป็นเด็กถูกพ่อแม่ญาติพี่น้องที่เป็นแรงงานข้ามชาตินำออกมาจากสถานการณ์สู้รบในประเทศพม่า และขอร้องให้ทางมูลนิธิฯ ช่วยดูแลไว้ก่อนจำนวน 16 คน  โดยผ่านบ้านป้าอำ ซึ่งเป็นคนที่รับดูแลเด็กๆ เร่ร่อนหรือลี้ภัยที่อำเภอแม่สาย ที่เป็นเครือข่ายมูลนิธิฯ และเป็นเด็กชายจำนวน 3 คน ที่พ่อแม่ถูกจับที่ สปป.ลาว โดยลุงพามาฝากที่มูลนิธิฯ แต่เนื่องด้วยในเวลานั้นเด็กทะลักเข้ามามากและเกินกำลังที่จะดูแลได้ เพราะขณะนี้ดูแลเด็กอยู่จำนวน 82 คน และต้องการให้พ้นจากพื้นที่เสี่ยงชายแดน และในช่วงนั้นต้นปี 2566 ได้รู้จักพระอาจารย์จากวัดสว่างอารมณ์ และทราบว่ามีโครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อนได้ส่งไปบวชภาคฤดูร้อน จึงประสานไปเพื่อให้เด็กได้บวชและอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างน้อย 1 เดือน แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาสึกทางสามเณรไม่ต้องการสึก และทางพระอาจารย์ที่มารับเด็กไปบวชแจ้งว่าเด็ก ๆ ปรับตัวกับพื้นที่ได้ดีสามารถอยู่เพื่อเรียนต่อได้ จึงได้ไปเยี่ยมเด็กๆ ทราบว่าเด็กอยากอยู่และเรียนที่ลพบุรี จึงมีการไปเยี่ยมทุก 2 เดือน และเห็นว่าทางวัดได้ดูแลเด็กๆ เป็นอย่างดี 

นุชนารถ กล่าวว่า จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นำเด็กต่างด้าว 126 กลับจาก จ.อ่างทอง ในเดือน ก.ค. 2566 ส่งกลับเมียนมา ทางมูลนิธิฯ จึงได้พยายามประสานพ่อแม่ญาติพี่น้องของเด็ก เพื่อเตรียมตัวนำกลับมาที่ จ.เชียงราย และกลับมาทำหนังสือให้ถูกต้องตามกฎหมาย หาแนวทางให้เด็กได้เรียนต่อ จึงติดต่อไปกับทางวัดสว่างอารมณ์เพื่อส่งเด็กกลับมา แต่ทางพระอาจารย์ที่วัดให้เข้าไปคุยกับเด็กๆ เอง ในเดือน ก.ย. 2566 จึงได้ไปพูดคุยกับเด็กๆ อีกครั้ง ปรากฏว่าเด็กๆ ยืนยันที่จะอยู่ที่วัดต่อ เราจึงได้พาสามเณรกลับมาได้ 1 คน ซึ่งป่วย และต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดและการรักษาต่อเนื่อง

ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ กล่าวว่า ครั้งสุดท้ายที่ไปพบปะเยี่ยมสามเณรคือเดือน ม.ค. 2567 และปรากฏว่าในวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ทาง พมจ.ลพบุรี ได้เข้าปูพรมตรวจสอบพื้นที่ในจังหวัดลพบุรี โดยได้เข้าตรวจค้นที่วัดสว่างอารมณ์ด้วย และได้สอบเด็กและพระอาจารย์ที่ดูแล ซึ่งเราได้รับการติดต่อจากบ้านพักเด็กเชียงราย ขอข้อมูลที่ส่งเด็กจาก จ.เชียงราย ไปยัง จ.ลพบุรี มูลนิธิฯ ก็ได้ให้ความร่วมมือให้ข้อมูล และเข้าพบหัวหน้าบ้านพักเด็ก จ.เชียงราย เพื่อเตรียมความพร้อมให้ส่งเด็กกลับมาในช่วงปิดเทอม เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก แต่ปรากฏว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามนั้น 

นุชนารถ กล่าวว่า ในคืนวันที่ 10 มี.ค. 2567 เราได้รับการติดต่อจากวัดว่าจะนำเด็กกลับทั้งที่อีกไม่กี่วันเด็กจะสอบปิดภาคเรียนแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ติดต่อกับทางวัดไม่ได้อีกเลย จนกระทั่งคืนวันที่ 12 มี.ค. ได้รับการติดต่อมาจาก พมจ.เชียงราย และ ตม.เชียงแสน ว่าจะเข้ามารับเด็กๆ ไปยังบ้านพักเด็กเมื่อเด็กมาถึง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมาย

"ในการช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนลี้ภัยสงครามตามตะเข็บชายแดนให้พ้นจากความเสี่ยงการค้ามนุษย์ ความเสี่ยงการขายบริการ และเสี่ยงจากการเป็นเครือข่ายยาเสพติด รู้ว่าการทำงานของมูลนิธิฯ และเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นดรอปอิน (Drop in) ศูนย์เรียนรู้เด็กเร่ร่อนแม่สาย ที่ดูแลเด็กที่แวะเวียนมาเรียนกว่า 50 คน บ้านป้าอำ อ.แม่สาย และเครือข่ายอีกจำนวนมาก ที่คอยคัดกรอง และการให้การสนับสนุนกัน ในการคุ้มครองเด็กต่างมีความเสี่ยงผิดกฎหมายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ทำงานกันมากกว่า 35 ปี ช่วยเด็กมากกว่า 358 คน ไม่รวมเด็กเร่รอนที่ไปกลับเวียนมา เด็กๆ เหล่านี้ได้เรียนต่อตามความสามารถ ซึ่งได้ช่วยเด็กพ้นจากความเสี่ยงและลดอาชญากรรมตามชายขอบที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย" นุชนารถ กล่าว 

ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านครูน้ำ กล่าวว่า การเกิดทุนสีเทา เว็บพนัน คอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ยาเสพติดรุนแรงขึ้น ในทุกด้านของชายแดน ทำให้เด็กมีความเสี่ยงสูงขึ้นมากมีการทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมากอย่างน่ากังวล ต่างกับเมื่อก่อนที่จะมีเพียงปัญหาถูกกระทำภายในครอบครัว แต่ตอนนี้ปัญหารอบด้านทีตะเข็บชายแดน หากยังติดเรื่องหลักเกณฑ์ รอช่วยเหลือที่ปลายทางไม่สามารถรับมือกับหาได้ จึงอยากให้รัฐบาลได้เห็นถึงสภาพปัญหาที่รุนแรงเพื่อรับมือให้ทันกับการทะลักของคนเร่ร่อน ลี้ภัยที่ตะเข็บชายแดน แก้ปัญหาอย่างตรงจุด

ด้านแหล่งข่าว ตม.เชียงแสน กล่าวว่า ขณะนี้การดำเนินการอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของสหวิชาชีพ ทำงานร่วมกับ พมจ.เชียงราย ได้ประสาน ตม.แม่สาย ติดต่อทาง ตม.ท่าขี้เหล็ก เพื่อประสานหาผู้ปกครองเด็กๆ เพื่อส่งกลับสู่พ่อแม่และส่งกลับประเทศพม่า หากไม่สามารถติดต่อผู้ปกครองได้ก็เข้าสู่ขบวนการการสงเคราะห์ต่อไป

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net