สำนักนายกฯ ออกจดหมายถึงหน่วยงานรัฐก่อนลงนามสัญญาใดๆ ให้ทำข้อสงวนไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ยกเหตุกระทบอำนาจอธิปไตยของไทย หลังมี ครม.มีมติเมื่อ 12 มี.ค.ที่ผ่านมาให้ทำข้อสงวนไม่รับอำนาจ ICJ จากกรณีเข้าร่วมเป็นภาคีตามอนุสัญญาคุ้มครองบุคคลจากการบังคับสูญหายฯ
26 มี.ค.2567 สุณัย ผาสุก ที่ปรึกษา Human Rights Watch เผยแพร่จดหมายของสำนักนายกรัฐมนตรีถึงผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ แจ้งให้หน่วยงานปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ทำข้อสงวนไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(International Court of Justice หรือ ICJ) ไว้ทุกเรื่องเพื่อไม่ให้กระทบอำนาจต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศ
กลัวอะไร? รัฐบาล #เศรษฐา สั่งให้ทำข้อสงวนไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice หรือ ICJ) ในการยื่นสัตยาบันต่อยูเอ็นเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection… pic.twitter.com/ksVSZB6FLA
— Sunai (@sunaibkk) March 26, 2024
จดหมายนี้ได้อ้างอิงถึงมติ ครม.ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมาที่มีการพิจารณาจัดทำข้อสงวนเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับสูญหายของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งในมติดังกล่าวออกมาเป็นหลักการให้ทุกส่วนของราชการและหน่วยงานรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในกรณีมีความจำเป็นในการทำหนังสือสัญญาที่มีข้อบทให้อำนาจแก่ ICJ มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้หน่วยงานนั้นๆ จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจ ICJ ไว้ด้วย
สุณัยแสดงความเห็นในทวีตดังกล่าวด้วยว่าที่ผ่านมากลไกยุติธรรมภายในประเทศของไทยไม่สามารถเอาผิดและคลี่คลายกรณีอุ้มหายกว่า 70 รายที่สหประชาชาติทำบันทึกข้อมูลเอาไว้ได้
ทั้งนี้ในการประชุม ครม.ครั้งวันที่ 12 มี.ค.นั้น เป็นการลงมติตามข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ ที่เสนอให้มีข้อสงวนไว้ในส่วนของข้อบทที่ 42 ของอนุสัญญาดังกล่าวที่ระบุถึงกรณีให้อำนาจแก่ ICJ ในการพิจารณาข้อพิพาทระหว่างรัฐภาคี 2 รัฐขึ้นไปในกรณีไม่สามารถยุติได้ด้วยการเจรจา
ยธ.ระบุเหตุผลในการเสนอให้จัดทำข้อสงวนไว้ด้วยว่า "เพื่อไม่ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ มีเขตอำนาจเหนืออำนาจอธิปไตยของไทย ส่งผลให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่สามารถก้าวล่วงมาตัดสินชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างไทยกับรัฐภาคีอื่นได้ ซึ่งข้อพิพาทนั้น ๆ อาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ ดังนั้น ไทยจึงควรจัดทำข้อสงวนต่อข้อบทดังกล่าวไว้ ดังเช่นที่ได้จัดทำไว้ในอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศฉบับอื่น ๆ"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)