คดีหมายเลขดำที่ 3402/2548
ศาลอาญา
วันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2548
ความ อาญา
ระหว่าง
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร โดยนาย
นาย
ข้อหาหรือฐานความผิด ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน, หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
ข้าพเจ้า พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร โดยนาย
ข้อ 1.โจทก์ได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในระหว่างปี 2544-2548 และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน โจทก์จึงมีฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาลและเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กำกับ โดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
คดีนี้ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นาย
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งรายการดังกล่าวมีการแพร่ภาพและออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อสมท เป็นประจำทุกวันศุกร์ ในระหว่างเวลา 22.00-23.00 น.โดยทำการแพร่ภาพและออกอากาศไปทั่วราชอาณาจักร
ข้อ 2. เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2548 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างวาระกัน กล่าวคือ ในระหว่างที่จำเลยทั้งสองดำเนินรายการดังกล่าวนั้น จำเลยทั้งสองได้กล่าวสนทนากันโดยหยิบยกเรื่องราวต่างๆ ขึ้นสนทนา และสอดแทรกถ้อยคำพูดที่เป็นการดูหมิ่นและใส่ความโจทก์ในระหว่างการดำเนินรายการหลายครั้ง ดังนี้
"ท่านบอกแล้วว่าท่านจงรักภักดีบางครั้ง การทำอะไรไปไม่ระมัดระวังแล้วไม่คิด มันส่อให้เห็นว่า เอ๊ะ ถ้าอย่างงั้นที่บอกว่าจงรักภักดี จงรักภักดีจริงรึเปล่า ผมยกให้กรณีนี้ ผมอยากกราบเรียนท่านนายกฯ ความจริงเรื่องนี้ ผมคุยกับท่านนายกฯ เป็นการส่วนตัวมาแล้ว"
"รัฐบาลทำไมถึงไม่ยกเลิกตำแหน่งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช หรือว่ารัฐบาลต้องการจะให้สมเด็จวัดสระเกศเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไป ถึงแช่เรื่องนี้เอาไว้ ปรากฎว่าวันนี้เรามีสมเด็จพระสังฆราช 2 องค์... ผมจึงต้องกราบเรียนท่านนายกฯจงรักภักดีเป็นเรื่องเลอเลิศประเสริฐศรี แต่ผมอยากให้บางอย่างที่ท่านละเลยไปท่านทำซะ ท่านไม่ทำไม่ได้ ม.ค.2547 ผ่านมาถึง ม.ค.2548 หนึ่งปีแล้ว และวันนี้คือ ก.ย.1 ปี กับ อีก 9 เดือนปล่อยเรื่องนี้คาราคาซัง"
"เมื่อถึงเวลาไม่ใช่มาตั้งค้ำกันเอาไว้ในขณะนี้ แล้วมีคณะทำงานขึ้นมาอีกต่างหาก ตรงนี้คุณสโรชา ผมอยากจะกราบเรียนไปที่ท่านนายกฯว่าผมนี่ไม่ได้สงสัยในความจงรักภักดีของท่าน ท่านบอกว่าท่านรักพระเจ้าอยู่หัว คุณสโรชาก็รักพระเจ้าอยู่หัว ผมก็รักพระเจ้าอยู่หัว"
"ผมอยากให้ท่านนายกฯ แสดงความจงรักภักดีด้วยการแก้ไขสิ่งซึ่งไม่ถูกต้องตอนนี้ แก้ไขซะใหม่ คือผมไม่ต้องการให้สังคมเข้าใจท่านนายกฯ ผิด เพราะโดยพื้นฐานแล้ว โดยตระกูลดามาพงศ์ ตระกูลทางภรรยาท่านนายกฯ ตระกูลท่านเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จวัดสระเกศ ผมเกรงว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าท่านนายกฯก็จะมีสังฆราชของท่าน ทางฝ่ายสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะมีพระสังฆราชของทางนี้ไม่ถูกต้อง"
"ท่านนายกฯผมเชื่อว่า ท่านนายกฯเมื่อมีความจงรักภักดีเกินร้อยท่านก็ต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ไม่ใช่เฉพาะปลาซิวปลาสร้อย หรือทุกอย่างโอนไปให้ข้าราชการ โกงลำไยที่เชียงใหม่ โกงลำไยที่ลำพูน ท่านนายกฯต้องตัดสินใจเด็ดขาด ถึงแม้เป็นญาติท่าน ท่านก็ทำ ท่านกล้าหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่อยากจะให้ท่านนายกฯแสดงความจงรักภักดี อย่าลืมว่าท่านนายกฯเคยพูดมา มีข้าราชการที่โดยนักการเมืองไม่เคยโดนตรงนี้ ต่างหากที่ผมคิดว่าเราต้องแสดงความจงรักภักดี โดยการบริหารชาติบ้านเมืองด้วยความตรงไปตรงมา ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ถ้อยคำสนทนาระหว่างจำเลยทั้งสองดังกล่าว มิโช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตหรือติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชน หรือในฐานะผู้เป็นสื่อสารมวลชนจะพึงกระทำ แต่จำเลยทั้งสองได้อาศัยช่องทางของสื่อสารมวลชนในการดำเนินรายการพูดจา ดูหมิ่นและใส่ความโจทก์อย่างไม่เป็นธรรมเกินขอบเขตและเสรีภาพของสื่อมวลชนที่มีอยู่ กระทบถึงสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศชื่อเสียง และความเป็นอยู่ส่วนบุคคลของโจทก์ ทั้งจำเลยทั้งสองทราบดีว่าการนำเรื่องดังกล่าวออกมาวิพากษ์วิจารณ์โดยจำเลยทั้งสองมีการพูดย้ำถึงความจงรักภักดีของโจทก์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และการที่จำเลยทั้งสองมีการพูดในทำนองว่ามีพระสังฆราช 2 พระองค์ โดยการแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดสระเกศรักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราชมีเงื่อนงำเนื่องจากครอบครัวของโจทก์มีความเคารพนับถือในสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดสระเกศ จึงพยายามที่จะให้สมเด็จพระพุฒาจารย์วัดสระเกศขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช และการปราบปรามการทุจริตการโกงลำไยเป็นการเลือกปฎิบัติไม่มีการดำเนินการกับนักการเมือง ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงโจทก์เป็นผู้มีความจงรักภักดีและเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างที่สุด และการเลือกปฎิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
เป็นอำนาจหน้าที่ของกรรมการมหาเถรสมาคมมิได้เกี่ยวข้องกับโจทก์ และมิได้มีการแต่งตั้งสมเด็จพระพุทฒาจารย์วัดสระเกศขึ้นเป็นพระสังฆราช เป็นองค์ที่ 2 แต่อย่างใดและการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น อีกทั้งโจทก์ ได้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยโจทก์ไม่เคยสั่งการให้ละเว้น การดำเนินการใดๆ กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตลำไยแต่อย่างใด คำกล่าวสนทนาของจำเลยย่อมทำให้ประชาชนทั่วไปที่ชมรายการเคลือบแคลงสงสัยและเข้าใจว่า โจทก์มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือไม่อย่างไร และโจทก์ใช้อำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินไปในทางที่มิชอบ มีการเลือกปฏิบัติ โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
ข้อ 3.ในตอนท้ายของรายการดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำเอาบทความที่อ้างว่ามีผู้ส่งมาให้ทางเว็บไซต์มาอ่านในรายการ มีใจความระบุว่า "พ่อมีความรักอันอบอุ่นให้ลูกเสมอ พ่อไม่เคยเกรี้ยวกราดด่าทอลูกว่าโง่ เวลาพ่อจะบอกลูกถึงปัญหาพ่อมักจะมีแง่คิดดีๆ มีนิทานแฝงคติให้ลูกนำไปคิดเสมอ ซึ่งเมื่อลูกๆ ได้คิดก็จะเข้าใจอะไรมากขึ้น พ่อมักเตือนให้ลูกๆ แปรงฟันก่อนนอน เพื่อฟันจะได้ไม่ผุ แต่ลูกๆ มักจะคิดได้หลังจากที่ต้องถอนฟันไปซี่แล้วซี่เล่า พ่อมักบอกให้เราซื่อสัตย์ ทำงานหนักเพื่อที่เราจะได้มีความเป็นอยู่ดีตามอัตภาพ พ่อไม่เคยบอกให้เราต้องร่ำรวยเพื่อให้มีความสุข พ่อมักจะบอกเสมอว่า เรามีความสุขได้ตามอัตภาพโดยไม่ต้องร่ำรวย พ่อมีลูกๆ ของท่าน 60 กว่าล้านคน ไม่เคยคิดที่จะยอมขายลูกตัวเองเพื่อฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้แต่พาหนะเดินทางของพ่อ รองเท้าเก่าๆ ของพ่อ พ่อก็ยังคงมัธยัสถ์ ทะนุถนอม ใช้ของเดิมๆ เมื่อชำรุดก็ให้คนเอาไปซ่อม พ่อไม่เคยคิดที่จะไถเงินจากลูกๆ ครั้งละ 40 สตางค์ เพื่อความมั่งคั่งส่วนตัวพ่อเอง พ่อมักบอกลูกๆ เสมอว่าเราต้องก้าวไปพร้อมๆ กัน ถ้าลูกคนโตสบายอยู่คนเดียว ในขณะที่ลูกอีก 60 ล้านกว่าคนต้องลำบากต้องโดนเอาเปรียบโดยการเปลี่ยนแปลงพี่น้องให้เป็นทาส มอบเมาน้องด้วยเงินทอง โทรศัพท์มือถือ การพนัน พ่อไม่ถือว่าเป็นการพัฒนา พ่อบอกว่าให้ลูกๆ เลือกตัวแทนมาทำงาน มาบริหารครอบครัว โดยมีเป้าหมายความสูงสุดของลูกๆ ทุกคน ไม่ใช่ทำเพื่อกำไรสูงสุดของครอบครัว แต่เพื่อความสูงสุดของครอบครัว ภายใต้เงื่อนไขที่มีอยู่มากมายในบ้านและรอบๆ บ้าน แต่มีลูกที่ดื้อรั้น หยิ่งผยอง อวดดี ที่บังเอิญสวมหนังลูกแกะและคุณธรรม คิดวัดรอยเท้าพ่อ ใช้พี่น้องคนอื่นๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบางคนรู้และสมยอม เพราะพี่ชายคนโตมีท่าไม้ตายคือเงินฟาดหัวจากลูกๆที่เป็นแกะดำเพียงไม่กี่คน ลัทธิรวยแล้วโก้ รวยแล้วเท่ รวยแล้วกร่างก็แพร่หลายในสังคม จากลูกแกะเชื่องที่มาจากศัทธาของพี่น้อง ไหว้แม้แต่พี่น้องที่อาศัยอยู่ข้างถนน กลายเป็นคนใจร้อน กำแหง เกรี้ยวกราดกับทุกคน จากคนเดิมๆที่พ่อให้เข้ามาบริหารในครอบครัว แม้มีความไม่โปร่งใสในทรัพย์สิน จากผู้นอบน้อมกลายเป็นศาสดา ที่กำแหงกล้าชี้ผิดชี้ถูก รุกคืบในสิทธิมนุษยชนของพี่น้องคนอื่นๆ เข้าไปในความคิดและวิถีชีวิตของพี่น้อง 60 ล้านคน จากผู้ที่ดูเหมือนจะบริสุทธิ์ผุดผ่องกลายเป็นบุคคลปริศนา ที่ไม่ยอมตอบคำถามใด กลัวการตอบคำถามและยึดถือครอบครองสมบัติของครอบครัวเป็นสมบัติของตนแต่ผู้เดียว พ่อบอกว่าเกลียดคนโกง พวกลูกแกะหลงทางบอกว่าจะเอาอะไรกิน เราไปอยู่กระต๊อบกันดีไหมพวกโง่ทั้งหลาย พ่อบอกว่าเราต้องพัฒนาไปพร้อมๆกัน ก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน ลุกแกะหลงทางขายสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อทำกำไรก่คณะของตนเอง ลามไปถึงการจัดกำลังคุมกันบ้าน ลูกแกะหลงทางกล่าวคำแหง ผมจะเอาคนนี้ คนนั้นใครเปลี่ยนไม่ได้ เพราะต้องอยู่ใต้กฎบ้าน ลูกแกะคนโตยังหลงทางต่อไป ต่อไป และต่อไป ลูกๆทั้งหลาย ตื่นเถิด ตาสว่างได้แล้ว ชีวิตนี้พวกท่านเป็นของพ่อ โดยไม่ต้องมีกฎใดๆมารองรับ กราบเท้าพ่อของแผ่นดิน"
การที่จำเลยทั้งสองนำบทความที่อ้างว่ามีผู้ส่งมาให้โดยไม่ปรากฏบุคคลที่ส่งมา และในบทความที่จำเลยทั้งสองนำมาอ่านเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนที่ชมรายการ เข้าใจว่า "พ่อ" ย่อมหมายถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "ลูกๆ" หมายถึงประชาชนชาวไทย "พี่ชายคนโต" หมายถึงนายกรัฐมนตรี ก็คือโจทก์ "ครอบครัว" หมายถึงประเทศไทย เนื้อหาของบทความดังกล่าว เป็นการดูหมิ่นและใส่ความโจทก์ เปรียบเปรยโจทก์ในทางเสียหาย ทำให้ประชาชนที่ชมรายการ เข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนที่คิดวัดรอยเท้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีความโปร่งใสในทรัพย์สิน ใช้อำนาจมิชอบ บริหารบ้านเมืองโดยมุ่งกอบโกยผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เป็นของตนเอง ซึ่งเป็นเท็จทั้งสิ้น ความจริงโจทก์มิได้กระทำเช่นนั้นเลย ตั้งแต่ที่โจทก์เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงปัจจุบัน ได้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินมาด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ดำรงตนและยึดมั่นในความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างเป็นที่สุดเสมอมา โดยก่อนเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้ถวายสัตย์ปฎิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะจงรักภักดีต่อมหากษัตริย์ และจะปฎิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยโจทก์ได้ปฎิบัติตามคำปฎิญาณที่ได้ให้ไว้ต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยิ่งด้วยชีวิต บทความที่จำเลยทั้งสอง นำมาอ่านดังกล่าวโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียดชัง
เหตุเกิดที่ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร และทั่วราชอาณาจักร
คดีนี้โจทก์มิได้ร้องทุกข์ไว้ต่อพนักงานสอบสวน เพราะประสงค์ที่จะดำเนินคดีเอง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้อง ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136,326,328,332,393,ประกอบมาตรา 83,91 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 โดยศาลอาญา รับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 26 ธันวาคม นี้ เวลา 09.00 น.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)