Skip to main content
sharethis

รายงานโดย นิตยสารรายสัปดาห์ "พลเมืองเหนือ"


 


 


เอกอัครราชทูตเตือนหอการค้าชายแดนอย่ามุ่งแต่เปิดการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านเพราะจะบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจ  ขอร้องผู้ว่าซีอีโอดูทิศทางนโยบายต่างประเทศก่อนไปเจรจา เผยที่ผ่านมาผู้ว่ารุดไปขายเงาะ ขายลำไยตัดราคากันจนกระทรวงพาณิชย์ปวดขมับ รับไทยไปลงนามบ้านพี่เมืองน้องกับเมืองทั่วโลกจนเกร่อแต่กิจกรรมต่อเนื่องไม่มี แนะเขียนแผนประจำปีรองรับ


 


นายวิทวัส ศรีวิหค เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวในการบรรยายเรื่อง " ยุทธศาสตร์การต่างประเทศกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคและระดับพื้นที่" ซึ่งสำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ กรมประชาสัมพันธ์ ร่วมกับ สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า ยุทธศาสตร์การทูตเชิงรุกนั้น รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และการปฏิบัติกับประเทศเพื่อนบ้านจะแตกต่างกับประเทศอื่นที่ไม่ได้มีพรมแดนติดกันด้วย ดังนั้นทัศนคติของจังหวัดหรือหอการค้าชายแดนที่มุ่งจะพัฒนาเพียงการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวจะกลายเป็นบ่อเกิดของความคลางแคลงใจว่าจะมาเอาเปรียบ จะต้องทบทวน เพราะรายได้ประชาชาติของประเทศเพื่อนบ้านไทย 3 ประเทศคือพม่า ลาว และกัมพูชา รวมกันไม่เท่า 9 เปอร์เซ็นต์ของไทย ดังนั้นหากได้กระทำสิ่งใดที่เพื่อนบ้านไม่ไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว เรื่องเล็กน้อยจะตามมามาย แนวทางที่จะต้องทำคือ จับมือเพื่อนบ้านให้อุ่นก่อน สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วค่อยขยายกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาบนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนซึ่งกันและกัน


 


"การทำประชาสัมพันธ์ทางการทูตกับเพื่อนบ้านมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้คือสื่อภาพยนตร์ที่เพิ่งปรากฏเป็นข่าว ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าหากเอกชนไม่เข้าใจพื้นฐานวัฒนธรรมและความรู้สึกของประเทศเพื่อนบ้าน จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่พยายามประคบประหงมมายาวนานเกือบสิ้นสุดลงเพราะภาพยนตร์เพียงบางเรื่องเท่านั้น "


 


นายวิทวัสกล่าวด้วยว่าในระดับขยายวงออกไปเป็นกรอบอาเซียน ยอมรับว่าการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจในบทบาทยังน้อย และประเทศที่มีศักยภาพสูงในกรอบนี้คือจีนและอินเดีย แต่ไทยยังมีทัศนคติที่ไม่เท่ากันใน 2 ประเทศนี้ มีความคุ้นกับจีนมากกว่า ขณะที่อินเดียวมีศักยภาพการพัฒนาด้านไอซีทีและไบโอเทคที่ไทยกำลังสนใจมากมาย แต่คนไทยยังไม่กล้าค้าขายกับคนอินเดียมากนัก


 


 นายวิทวัส ยังกล่าวในประเด็นการทำงานให้ประสานกันระหว่างผู้ว่าซีอีโอกับทูตซีอีโอว่า  ที่ผ่านมาพบว่าหลายครั้งที่ผู้ว่าซีอีโอรุกไปดำเนินนโยบายต่างประเทศในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อมุ่งหวัดผลชี้วัดของจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด เช่นการไปขายผลไม้ ขายข้าว พบว่ามีการตัดราคากันเอง ตัดราคากระทรวงพาณิชย์ จนทำให้ต่างประเทศสับสนและบางทั้งสวนทางกับนโยบายระดับชาติ ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้ว่าซีอีโอดำเนินการนอกประเทศขอให้ถอดเสื้อทีมจังหวัดออกและสวมเสื้อทีมประเทศไทยเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และขอให้สำนักงานกพร. อย่าประเมินผลงานการต่างประเทศของแต่ละจังหวัดในเชิงเดี่ยว เพราะจะทำให้เกิดการแข่งขันกันจนเป็นผลเสีย


 


ส่วนกรณีเทศบาล และจังหวัดหลายแห่งของไทย ที่ไปตกลงเป็นเมืองพี่เมืองน้อง ภายใต้นโยบายของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีจำนวนมาก แต่ประชาชนในพื้นที่ไม่รับทราบข้อมูล นอกจากนั้นกิจกรรมที่ตามมาหลังจากลงนามเซ็นต์สัญญาก็ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งยอมรับว่าจะต้องมีการประสานงานให้มากขึ้น โดยท้องถิ่นควรจะได้กำหนดอยู่ในแผนงานประจำปีของจังหวัด มีการกำหนดงบประมาณ มิใช่เพียงแต่ไปลงนามครั้งแรกแล้วเงียบหายไป ไม่มีการแสดงออกที่ต่อเนื่องแม้ในแง่ของวัฒนธรรม


 


"ต้องยอมรับว่ากิจกรรมต่อเนื่องหลังการลงนามแล้วไม่มี ซึ่งกิจกรรมด้านวัฒนธรรมเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องแสดงออกเช่นกัน ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงการประสานงานกันในแง่นี้เพิ่ม"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net