Skip to main content
sharethis

21 เม.. 52 - คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ(คปส.) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพและการใช้ความรุนแรงทำร้ายสื่อมวลชน หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม 13 เมษายน 2552 โดยมีรายละเอียดดังนี้


 


 






 


แถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.)


คัดค้านการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพและการใช้ความรุนแรงทำร้ายสื่อมวลชน


หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒


 


ภายหลังที่รัฐบาลใช้กำลังทหารสลายกลุ่มผู้ชุมนุมที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล และได้ใช้อำนาจรัฐในการสั่งปิดสถานีวิทยุขนาดเล็กหลายแห่งในภูมิภาค สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม รวมถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) เห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชนในท้องถิ่นและผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งบานปลายออกไปไม่สิ้นสุด อีกทั้งการปิดกั้นช่องทางการสื่อสารยิ่งเป็นการผลักดันให้ผู้เห็นต่างทางการเมืองต้องต่อสู้ในวิถีทางใต้ดิน


 


การที่รัฐตรวจค้น จับกุม ยึดเครื่องมือสื่อสาร ปิดสถานีวิทยุชุมชนด้วยข้ออ้างว่าไม่มีใบอนุญาตนั้นเป็นสิ่งที่ขัดต่อนโยบายของรัฐ เนื่องจากมติ ครม. ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๘ และ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ได้ผ่อนผันให้วิทยุขนาดเล็กในท้องถิ่นเหล่านี้ดำเนินการได้ชั่วคราวจนกว่าจะมีกระบวนการให้ใบอนุญาต และขณะนี้อนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ซึ่งทำงานร่วมกับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อออกใบอนุญาตชั่วคราวตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เนื่องเพราะในระยะหลายปีที่ผ่านมาไม่มีรัฐบาลใดผลักดันให้มีการออกใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์อย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ ทุกอย่างจึงอยู่ในสภาวะสุญญากาศตลอดมา 


 


ดังนั้น การสั่งการให้ปิดสถานีวิทยุขนาดเล็กในท้องถิ่นบางแห่งด้วยเหตุผลทางการเมืองของรัฐ นอกจากจะขัดกับหลักการเรื่องสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารแล้วยังเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะการมุ่งดำเนินคดีกับเครือข่ายวิทยุที่มีความเห็นต่างทางการเมือง ย่อมนำไปสู่แรงต้านที่มากขึ้น  ทั้งนี้การสร้างความสมานฉันท์ในสังคม รัฐจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสนับสนุนให้ประชาชนทุกกลุ่มได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเสมอภาคกัน


 


คปส. เห็นว่าปัจจุบัน แนวโน้มการใช้อำนาจคุกคามผู้เห็นต่างทางการเมืองกำลังไต่ระดับความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การปิดกั้นช่องทางการสื่อสาร การข่มขู่คุกคาม ให้ร้าย จนกระทั่งการลอบสังหารนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ดังเช่นกรณีการลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งในฐานะเจ้าของกิจการสื่อมวลชนและหนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  ย่อมเป็นเครื่องชี้วัดว่าการคุกคามได้ยกระดับความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจากทุกฝ่าย ทั้งด้วยการใช้อำนาจรัฐหรืออำนาจนอกวิถีประชาธิปไตย  ซึ่งล้วนเป็นวิธีการใช้อำนาจที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนและกระทบต่อความมั่นคงของชาติทั้งสิ้น


 


คปส. จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดังนี้


 


๑.     ขอให้รัฐบาลยุติมาตรการใด ๆ ก็ตามที่เป็นการปิดกั้นสื่อ โดยเฉพาะวิทยุชุมชน อินเทอร์เน็ต และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของประชาชนทุกกลุ่ม  ในขณะเดียวกันรัฐควรสนับสนุนให้ประชาชนทุกกลุ่มได้มีโอกาสใช้สื่อของรัฐเพื่อถกเถียง แลกเปลี่ยนเพื่อแสวงหาจุดร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย 


 


๒.    ขอให้อนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ได้ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด และใช้อำนาจ กำกับดูแลวิทยุชุมชนอย่างเป็นธรรม โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ


 


๓.     ขอให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรงกับสื่อมวลชน  และประชาชนที่แสดงออกทางการเมือง  ขณะเดียวกันขอให้ทุกฝ่ายมีความอดทนอดกลั้นต่อกันและกันให้มากขึ้นในภาวะที่สังคมไทยอ่อนแออย่างมากในปัจจุบัน 


 


๔.    ขอให้สื่อสารมวลชนทุกแขนง รวมทั้ง วิทยุชุมชน และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เปิดพื้นที่ในการสื่อสารเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่หลากหลาย ร่วมกันลดอคติ ยุติการสร้างความเกลียดชัง  และส่งเสริมแนวทางการแก้ปัญหาทางการเมืองโดยวิถีทางประชาธิปไตยและสันติวิธี


 


 


ด้วยความสมานฉันท์


คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ(คปส.)


๒๑ เมษายน ๒๕๕๒


 


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net