Skip to main content
sharethis








ศูนย์ข่าวอิสรา-4 ก.ย.48     "ใครก็ช่วยไม่ได้หรอก จะปิดหมู่บ้านไปอย่างนี้ รัฐก็ช่วยไม่ได้ขออยู่กับพวกเรากันเองดีกว่า พวกเราจะดูแลกันเอง" แต่ครูผู้หญิงคนหนึ่งของโรงเรียนตาดีกาในบ้านละหาร ยอมพูดผ่านชายผ้า ฮิญาบ ที่ดึงขึ้นมาปิดปากและจมูกจนทำให้เห็นแต่ดวงตาว่า เขาจะไม่เปิดให้ใครเข้ามาในหมู่บ้านหรือในมัสยิดของพวกเขาอีกแล้วตราบใดที่ เขายังคิดว่ารัฐไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้

วานนี้( 4ก.ย.) ครูสอนศาสนา ชาวบ้าน และ เด็กเล็กอายุระหว่าง 6-12 ปี นักเรียนของโรงเรียนตาดีกาในเขต มัสยิดอัล-ฮูรียะหีอัล-อีสลามียะห์ หรือ ที่รู้จักกันนามมัสยิดละหาร หมู่ที่ 8 บ้านละหาร ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ต้องรีบเร่งกันวิ่งออกมาจากห้องเรียนของอาคารไม้ชั้นเดียว หลังจากขบวนรถยนต์กว่า 30 คันของ นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ทหาร ตำรวจ และ สื่อมวลชน เดินทางมาถึงบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อช่วงสายของวันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา


การวิ่งออกมาอย่างเร่งด่วน และเอิกเกริกของกลุ่มคนที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนชายหญิง และ ชาวบ้านที่เป็นผู้หญิงนั้น ใช่ว่าเป็นการวิ่งออกมาต้อนรับตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เป็นการวิ่งออกมาเพื่อสร้าง "กำแพงมนุษย์" ปิดกั้นไม่ให้ผู้ใดที่พวกเขาถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสาวเท้าย่างกรายเข้าไปใน เขตหมู่บ้านของพวกเขาได้ โดยเฉพาะ "ทหาร" ที่พวกเขามองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามที่กระชากชีวิตของผู้นำศาสนาไปจากชุมชนของ พวกเขา


เด็กชายวัยเฉียด 10 ปี อย่างน้อย 2-3 คน หยิบฉวยท่อนไม้เหมาะมือที่ยาวประมาณ 1 เมตร ขึ้นมาเป็นอาวุธใช้ผลักดันและทุบกระแทกลงกับพื้นซีเมนต์อย่างแรง พร้อมกับสบถภาษามลายูท้องถิ่นเล็ดลอดออกมาตามไรฟัน แม้ว่าจะไม่สามารถแปลใจความได้ แต่จากอากัปกริยาก็สามารถสื่อความหมาย จนทำให้ทหารที่ถืออาวุธปืนสงครามประจำกายต้องหยุดเท้าลง และทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายอยู่พักใหญ่ เนื่องจากหญิงสาวที่เป็นชาวบ้านและครูสอนศาสนา รวมทั้งเด็กนักเรียนต่างกีดกัน ทหาร รวมทั้งสื่อมวล ชนบางคนไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ เว้นแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ผู้ใหญ่บ้านพาเดินนำเข้าไปก่อนแล้ว


เหตุการณ์คลี่คลายลงเมื่อ นายประชา ได้ตะโกนสั่งให้ทหารอยู่ภายนอกเขตหมู่บ้าน และมัสยิด แต่ที่ยังไม่คลี่คลายคือกลุ่มเด็กนักเรียน และชาวบ้านผู้หญิงที่รวมตัวกันเป็นกำแพงมนุษย์ ที่ยังยืนหยัดกลางแสง แดดกีดกันทหารไม่ให้เข้าไปในหมู่บ้าน ขณะที่ผู้สื่อข่าวสามารถต่อรองและพูดคุยจนสามารถที่จะเล็ดรอดเข้าไปได้


อย่างไรก็ตามผู้หญิงในหมู่บ้านทุกคนต่างใช้ชายผ้า ฮิญาบ หรือ ผู้คลุมศีรษะสตรีมุสลิม ดึงขึ้นมาปิดบังใบหน้าจนเหลือแต่ดวงตา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สื่อข่าว และ ทหาร หรือฝ่ายปกครองถ่ายรูป เช่นเดียวกันนักเรียนหญิงตาดีกาก็ทำเช่นเดียวกันด้วย ขณะที่นักเรียนชายใช้หมวกกาปิเยาะ หรือหมวกของชาวมุสลิม ปิดหน้าเอาไว้


การปิดกั้นไม่ให้คนแปลกหน้า รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในวันนี้ แต่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยชาวบ้านได้ตัดต้นไม้มาขวางทางเข้าหมู่บ้านและมัสยิดไว้ เนื่องจากกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะทหาร หลังจากที่ นายสะตอปา ยูโซ๊ะ โต๊ะอิหม่ามมัสยิดบ้านละหาร ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตที่หน้าบ้านพักในมัสยิด เมื่อคืนวันที่ 30 สิงหาคม ซึ่งชาวบ้านยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า นายสะตอปา ได้บอกก่อนหมดลมหายใจว่า คนร้ายคือเจ้าหน้าที่รัฐ


อย่างไรก็ตาม การเข้าไปเยี่ยมชาวบ้านของ นายประชา ครั้งนี้นั้นไม่พบชาวบ้านที่เป็นผู้ชาย นอกจากผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านไม่กี่คนเท่านั้น ที่เหลือเป็นเด็กเล็กและผู้หญิง ทั้งนี้ชาวบ้านปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์


ครูผู้หญิงอายุไม่ถึง 30 ปี กล่าวพร้อมกับบอกว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านของเขาไม่ได้หนีออกไปเขตมาเลเซียตามที่เป็นข่าว แต่ที่ผู้ชายไม่อยู่เพราะไม่อยากออกมานอกบ้านเท่านั้น


นายจำนัล เหมือนดำ นายอำเภอสุไหงปาดี กล่าวว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นไม่พบว่ามีชาวบ้านในบ้านละหาร อยู่ในกลุ่ม 131 คนที่หนีไปมาเลเซีย ให้ผู้ใหญ่บ้านไปตรวจสอบแล้วก็ไม่พบ ส่วนเรื่องที่ชาวบ้านหวาดกลัวว่าทหารจะมาทำร้ายนั้นจะต้องเร่งแก้ไข แต่คงต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับผู้นำของพวกเขาก่อน ซึ่งตอนนี้ทุกคนยังคงอยู่ในอาการโศกเศร้า


ด้าน นายประชา กล่าวว่า ชาวบ้านกำลังมีความรู้สึกไม่ดี และอยู่ในช่วงที่กำลังไว้ทุกข์ แต่ก็ยอมให้ฝ่ายปกครองเข้าไปในหมู่บ้านได้ ซึ่งชาวบ้านก็ไม่ได้ต่อต้านแต่ต้องใช้เวลาเพราะเหตุการณ์ที่โต๊ะอิหม่ามถูก ยิงนั้นยังไม่ถึง 7 วัน เบื้องต้นได้สั่งการให้ทางอำเภอเข้ามาฟื้นฟูจิตใจโดยใช้จิตวิทยามวลชนแล้ว


ส่วนกรณีชาวบ้าน 131 คนซึ่งอพยพหนีภัยเข้าประเทศมาเลเซียนั้น นายประชา กล่าวว่าเป็นชาวบ้านที่มาจากหลายอำเภอใน จ.นราธิวาส ไม่ได้มาจากอำเภอสุไหงปาดีเพียงที่เดียว แต่ยังมีจาก อ.บาเจาะ และ อ.เจาะไอร้อง เป็นต้น ส่วนใหญ่ 90% ของผู้ที่ถูกจับยอมรับว่าจะเข้าไปหางานทำ ซึ่งปกติแล้วก็มีคนไทยไปทำงานที่มาเลเซียเป็นหมื่นคนอยู่แล้ว แต่การไปครั้งนี้ของชาวบ้านเป็นการไปรวมกลุ่มกันในมัสยิด ทาง การมาเลเซียเห็นว่าผิดปกติจึงเข้าไปตรวจสอบ และพบว่าเป็นการเข้าเมืองผิดกฎหมายจึงนำตัวไปสอบสวน


"เรื่องที่เกิด ว่าเป็นการหนีออกไปเพื่อความปลอดภัยของชาวบ้าน เกิดจากมีแกนนำผู้ก่อการอยู่คนสองคนในกลุ่มนั้นที่ไปอ้างกับมาเลเซียว่าถูก กดดันจนต้องหนีออกมาจากเขตไทย ก็เป็นเรื่องปกติเพราะพวกแกนนำก็เข้าออกทั้งสองประเทศอยู่แล้ว ตอนนี้กำลังตรวจสอบว่ามีใครที่มีหมายจับอยู่บ้าง ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไหร่มาเลฯถึงจะปล่อยตัวกลับมาก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายของ เขา" ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าว


ส่วนกรณีที่พรรคปาสของมาเลเซียออกมาเรียกร้องให้ไทยยุติการใช้ความรุนแรงกับมุสลิมนั้น นายประชา กล่าวเพียงว่า พรรคปาสก็คือ รัฐกลันตัน ต้องไปศึกษาประวัติศาสตร์รัฐกลันตัน กับ รัฐปัตตานี ให้ดีเสีย ก่อนก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร


นายอับดุลเราะห์มาน อับดุลซามัด ประธานคณะกรรมการกลางอิสลามจังหวัดนราธิวาสกล่าวว่า เขา ต้องการให้คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) เร่งลงมารับฟังข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่บ้านละหาร เพื่อทราบข้อมูลที่แท้จริง ก่อนที่ความขัดแย้งระหว่างทหารกับชาวบ้านจะบานปลายและเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น


อย่างไรก็ตามตนก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเจรจากับชาวบ้านด้วยหากทางจังหวัดเชิญ แต่การเข้าไปในหมู่บ้านวันนี้ของผู้ว่าฯ ตนก็ไม่ได้รับเชิญไปแต่อย่างใด สำหรับการแก้ปัญหาเบื้องต้นนั้นตนคิดว่าน่าจะเชิญผู้นำชาวบ้านมาประชุม และทำความเข้าใจ เพื่อให้ไปชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องกับชาวบ้านต่อไป


 
ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (http://www.tjanews.org)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net