เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีจะเดินทางไปยังสถานทูตแคนาดาประจำประเทศไทย ณ อาคารอับดุลราฮิมเพลส ชั้น 15 ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ เพื่อขอเข้าพบและยื่นหนังสือถึงเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เชิญลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมกลุ่มอนุรักษ์ฯ ราษฎรไทยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี เพราะบริษัท เอเซียแปซิฟิค โปแตช คอปอร์เรชั่น (เอพีพีซี) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศแคนาดา ได้ยื่นขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินในจังหวัดอุดรธานี 2 แปลง รวมพื้นที่ทำเหมืองใต้ดินประมาณ 74,437 ไร่  

นายเดอนีส์ โคโม เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยได้อนุญาตให้ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ได้แก่นางมณี บุญรอด และนายเดชา คำเบ้าเมือง เข้าพบให้ข้อมูลและยื่นหนังสือ พร้อมกล่าวว่า ทางสถานทูตจะส่งเรื่องที่กลุ่มอนุรักษ์ยื่นมาไปยังบริษัทเจ้าของโครงการต่อไป ส่วนเรื่องลงพื้นที่ไปเยี่ยมชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ ตามที่กลุ่มอนุรักษ์เสนอนั้นจะขอพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าจะมีประโยชน์อย่างไร  ส่วนเรื่องโครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานีนั้นทางสถานทูตได้ติดตามข่าวอยู่แต่ไม่อาจให้ความเห็นก้าวก่ายได้เพราะเป็นโครงการของบริษัทเอกชน และบริษัทต้องคำนึงถึงกฎหมายของไทยเป็นสำคัญ

ด้านนายเดชา คำเบ้าเมือง ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ฯ ที่เข้าพบเอกอัคราชทูตฯ เปิดเผยว่าที่ผ่านมาบริษัทเอพีพีซีได้เข้าไปพัฒนาสวนสาธารณะหนองนาตาลเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการโดยได้เชิญ นายแบลร์นาร์ ซีรู (H.E.Mr.Bernard Giroux) เอกอัคราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยขณะนั้น ทำการเปิดสวนดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2543

"มีการระบุชื่ออดีตเอกอัครราชทูตในศาลาพักกลางสวนที่บริษัทได้ติดตั้งป้ายชื่อบริษัท และสร้างสัญลักษณ์ของบริษัทในทางเข้าสู่สวน บนศาลาพัก อีกทั้งลงโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ ว่าบริษัทลงทุนสร้างสวนสาธารณะ ในขณะนั้นชาวอุดรยังไม่ทราบข้อมูลโครงการผิดกับปัจจุบันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างบริษัทและประชาชนชาวอุดรธานี ซึ่งสัญลักษณ์ที่บริษัทใช้ชื่อทูตแคนาดาสร้างขึ้นยังอยู่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่ารัฐบาลแคนาดาสนับสนุนโครงการเหมืองแร่โปแตชนี้" นายเดชากล่าว

สำหรับวัตถุประสงค์ของการเข้าขอเข้าพบทูตแคนาดาวันนี้ นายเดชา กล่าวว่าเป็นการเข้าพบเพื่อทำความเข้าใจและขอเรียนเชิญท่านทูตคนปัจจุบันลงพื้นที่เยี่ยมชาวบ้านที่เดือดร้อน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงจุดยืนของรัฐบาลแคนาดาต่อเรื่องนี้