นอกเหนือจากนโยบายที่มีผลกระทบต่อรากหญ้าอันได้แก่นโยบายประชานิยมต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น นโยบายปราบปรามยาเสพติดที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกฆ่าตัดตอน ฯลฯ รัฐบาลทักษิณยังมีนโยบายสาธารณะอีกหลายเรื่องที่ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ และมีผลกระทบต่อประชาชนวงกว้าง นับตั้งแต่การดำเนินนโยบายเรื่องการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ นโยบายเกี่ยวกับการจัดการที่ดิน น้ำ และป่าไม้ นโยบายด้านสาธารณสุข การศึกษาที่สำนักข่าวประชาธรรมจะนำเสนอเป็นตอนต่อจาก นโยบายที่มีผลกระทบต่อรากหญ้า
เมกะโปรเจ็กต์ "น้ำ" และต่างชาติ
ในช่วงปีที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณตามแผนการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ (Mega Project) ในช่วงปี 2549-2552 ในการบริหารจัดการน้ำตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอจำนวน 2.4 แสนล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 12 ของงบประมาณการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ทั้งหมด
ทั้งนี้ แผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจะดำเนินการทั้ง 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ โดยกำหนดแนวทางการจัดการลุ่มน้ำตั้งแต่การจัดการต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
การจัดการต้นน้ำ จะเน้นที่การอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ การก่อสร้างฝายต้นน้ำ และการปลูกหญ้าแฝก รวมงบประมาณการจัดการพื้นที่ต้นน้ำ 5,657.99 ล้านบาท
การจัดการกลางน้ำ ประกอบด้วย 1.ปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยการขุดลอก ทำฝายยาง ประตูน้ำจำนวน 371 แห่ง 2.สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก/กลางและใหญ่จำนวน 151,871 แห่ง
3.จะจัดทำระบบส่งน้ำด้วยระบบสูบน้ำไฟฟ้า เชื่อมโยงน้ำที่มีปริมาณมากเกินความต้องการไปยังแหล่งน้ำอื่นที่มีศักยภาพในการเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น และจัดทำระบบประปาภูมิภาคจำนวน 240 แห่ง 4.จัดการน้ำอุปโภค-บริโภคจำนวน 2,166 แห่ง และ 5.การป้องกันน้ำท่วมและบรรเทาอุทกภัยด้วยการก่อสร้างคันปิดล้อม แก้มลิง โครงการผันน้ำ รวมงบประมาณการจัดการพื้นที่กลางน้ำทั้งหมด 190,093.62 ล้านบาท
การจัดการปลายน้ำและชายฝั่ง ประกอบด้วย 1.การจัดการน้ำเสียอุตสาหกรรม 2.การจัดการน้ำเสียชุมชน และ 3.ระบบนิเวศท้ายน้ำ ฟื้นฟูป่าชายเลนงบประมาณ 208.50 ล้านบาท รวบงบประมาณการจัดการท้ายน้ำและชายฝั่งทั้งหมด 2,759.80 ล้านบาท และงบประมาณการบริหารจัดการ 4,573.01 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มีข้อที่น่าสังเกตว่างบประมาณที่ใช้ในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ 25 ลุ่มน้ำนั้น จัดเป็นงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างสูงถึง 1.68 แสนล้านบาท ตั้งแต่การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ สระน้ำ เหมืองฝาย ประตูระบายน้ำ ระบบสูบน้ำ การก่อสร้างแก้มลิง และโครงการผันน้ำ เป็นต้น
หลังจากที่ ครม.รับหลักการเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดำเนินโครงการแล้ว ก็ปรากฏว่าในช่วงปีเดียวกันนี้เอง (ธันวาคม 2548) นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็เร่งรีบดำเนินการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์น้ำอย่างไม่รอช้า พร้อมกับการเปิดให้ลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์อื่นๆ เช่น โครงการวัวนม โคนม อาหารและเรืออวนล้อม โดยได้มีการเสนอโครงการให้แก่เอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ เพื่อพิจารณาโครงการแล้ว
โครงการที่จะเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1.การติดตั้งระบบเพื่อบริหารน้ำในอ่างเก็บน้ำแต่ละแห่ง ที่จะต้องบริหารทั้งเรื่องการหาน้ำ การใช้น้ำของภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม 2.การก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ๆ เช่นการสร้างอ่าง และเขื่อนต่างๆ ใน 25 ลุ่มน้ำ โดยใช้ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งประเทศที่มีเทคโนโลยีด้านนี้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เป็นต้น 3.การบริหารน้ำในพื้นที่ที่เป็นฟาร์ม โดยเปลี่ยนจากระบบท่อส่งน้ำแบบชลประทานเป็นระบบน้ำหยด
การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์เรื่องน้ำ ถูกตั้งคำถามจากนักวิชาการโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาบริหารจัดการน้ำของไทย โดย อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตั้งคำถามว่าคนต่างชาติจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนไทยว่าสัมพันธ์กับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างไร จะไม่สามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับคนไทยได้
ต่อประเด็นนี้ เครือข่ายองค์กรชาวบ้าน และองค์กรพัฒนาเอกชนก็เคยสะท้อนถึงปัญหาของการจัดการน้ำโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาโดยตลอด เช่น กรณีความล้มเหลวของโครงการจัดการน้ำโขง-ชี-มูลที่ลอกเลียนแบบการจัดการน้ำมาจากลุ่มน้ำเมอร์เรย์-ดาร์ลิง ประเทศออสเตรเลีย โดยรัฐบาลสมัยนั้น (ปี 2532) มีความคิดที่จะผันน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้เพื่อขยายพื้นที่ชลประทานในภาคอีสาน แบ่งโครงการออกเป็น 3 ระยะ ระยะเวลาดำเนินการยาวนานถึง 42 ปี (2532-2576) หลังการประชุมค.ร.ม.สัญจรมีการอนุมัติงบประมาณทันทีงวดแรกจำนวน 1,800 ล้านบาท ก่อนจะศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม แผนการดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ระยะ รวมงบประมาณทั้งสิ้น 228,000 ล้านบาท วัตถุประสงค์หลักอ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคเกษตรกรรม ตั้งเป้าครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรม 4.98 ล้านไร่ 15 จังหวัด ประกอบด้วยเขื่อน ฝาย สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า คลองผันน้ำ และคลองส่งน้ำ
องค์กรสิ่งแวดล้อมทั้งในท้องถิ่นและส่วนกลาง เช่น โครงการทามมูลที่อีสาน และโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ (ปัจจุบันคือมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ) ได้ทำการศึกษาผลกระทบของโครงการโขง-ชี-มูลแล้วพบว่าโครงการดังกล่าวสร้างปัญหาอย่างมาก เช่น เมื่อสร้างเขื่อนทำให้เกิดการแพร่กระจายของดินเค็มเนื่องจากดำเนินการบนพื้นที่ดินเค็ม ทำให้เกษตรกรไม่สามารถใช้น้ำทำการเกษตรได้
นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและระบบนิเวศน์ในท้องถิ่น และยังไม่มีความคุ้มทุนในการจัดการน้ำ โครงการทามมูลคำนวณต้นทุนการพัฒนาแหล่งน้ำในโครงการโขง-ชี-มูลเฉพาะพื้นที่ราษีไศลจะอยู่ที่ 170,000 บาทต่อไร่ ขณะที่ต้นทุนที่ชาวบ้านจัดการน้ำกันเองโดยการขุดคลอง และสูบน้ำไปใช้จะอยู่ที่แปลงละ 1,000 บาทต่อไร่เท่านั้นเอง
นอกจากเรื่องเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตแล้วยังมีเรื่องของความเป็นธรรมในการจัดการน้ำ ขณะที่รัฐบาลอ้างว่าการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมากขึ้นนั้น ก็พบว่าข้อเท็จจริงที่เปิดให้ต่างชาติเข้ามาจัดการก่อนหน้านี้ เช่น กรณีบริษัทอีสต์ วอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทบริหารจัดการน้ำตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาจัดการน้ำภาคตะวันออกนั้นไม่ได้ทำให้เกิดการจัดการน้ำที่ประสิทธิภาพและความเป็นธรรมจริง เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตน้ำในภาคตะวันออกจนอ่างเก็บน้ำที่ส่งน้ำให้แก่นิคมอุตสาหกรรมแห้งขอด ก็พบว่าสุดท้ายการจัดการน้ำก็เลือกที่จะจัดหาน้ำ แก้ปัญหาให้แก่นิคมอุตสาหกรรมเป็นด้านหลัก ขณะที่มีชาวสวนในพื้นที่เดียวกันก็ขาดแคลนน้ำเช่นกัน
ปัจจุบัน ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการน้ำที่เสนอโดยรัฐบาลนั้น ภาคประชาชนจำนวนมากยังไม่เห็นด้วย ทั้งนี้เพราะแนวทางการจัดการน้ำยังคงเป็นแนวทางเดิม ๆ คือการลงทุนก่อสร้างเขื่อน โครงการผันน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่ได้แก้ไขปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งแต่อย่างใด เพราะจะยิ่งเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมากกว่า
นอกจากนี้ประเด็นที่เริ่มมีนักวิชาการหลายท่าน รวมทั้งสื่อมวลชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น คือกรณีที่เสนอให้ต่างชาติเข้ามาประมูลการจัดการน้ำ ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าการจัดการน้ำโดยชาวต่างชาติ จะทำให้คนไทยสูญเสียสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรหรือไม่ อีกทั้งเทคโนโลยีจะสอดคล้องกับความต้องการของคนไทยหรือไม่ ?
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลทักษิณยังคงเดินหน้ากับโครงการจัดการแสนล้านนี้โดยเปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีเสียงสะท้อนว่าไม่คุ้มทุน นั่นเพราะเป้าหมายหลักของรัฐบาลอยู่ที่ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นเท่านั้น !
เบญจา ศิลารักษ์
สำนักข่าวประชาธรรม
แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)