"มหาวิทยาลัยต้องผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพมากที่สุด เพราะวันนี้ทุนทางปัญญาเริ่มหมด รวมถึงต้องมองโอกาสทางการศึกษา ไม่ให้การศึกษาเป็น capitalist แต่ก็ต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงบ้าง เพราะมหาวิทยาลัยต้องมีความคล่องตัวของผู้บริหาร แต่มหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัยไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน" นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเคยกล่าวถึงการแปรรูปมหาวิทยาลัยของรัฐเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วหลังเลือกตั้งผ่านไปหมาด ๆ ในช่วงที่ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก
คำกล่าวของท่านนายกฯ บอกอะไรกับเราบ้าง หากพินิจพิเคราะห์ให้ดีก็จะเห็นว่าท่านนายกฯ ผู้นี้ฉลาดล้ำลึกในการกล่าวสุนทรพจน์เอาใจประชาชนอย่างยิ่ง สามารถทำให้ประชาชนที่รับฟังเห็นว่านายกฯ ให้ความสำคัญกับการศึกษาเสียจริง ๆ แต่สิ่งที่ไม่มีอยู่ในถ้อยคำของท่านนายกฯ เลยก็คือว่าหากมหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง แท้ที่จริงแล้วคืออะไร โอกาสทางการศึกษาที่จะกระจายอย่างเท่าเทียมจะเกิดขึ้นอย่างไรหลังจากมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลง มหาวิทยาลัยที่เข้าสู่การแข่งขันในระบบตลาดเสรี จะเกิดอะไรขึ้นกับประชาชนบ้าง ?
ท่ามกลางกระแสทุนนิยมที่มาแรง คำพูดที่ว่า "มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ" กลายเป็นคำฮิตติดปากในแวดวงนักวิชาการด้านการศึกษา อาจารย์-ข้าราชการในมหาวิทยาลัย แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่จะต้องส่งบุตร-หลานเข้าเรียนในชั้นอุดมศึกษานั้นยังถือว่ารับรู้เรื่องนี้น้อยมาก
ความจริงแล้วความคิดเรื่องมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ หรือการนำออกนอกระบบราชการ ไม่ใช่เพิ่งเกิดในสมัยรัฐบาลทักษิณ แต่เกิดขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว และไม่สามารถผลักดันให้เป็นจริงได้จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ดังนั้น เมื่อถึงรัฐบาลทักษิณ จึงเป็นที่จับจ้องว่าการนำออกนอกระบบราชการอาจจะสามารถทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยคุณสมบัติพิเศษของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ที่บริหารประเทศไทยแบบบริษัทจำกัดนั่นเอง
ทำไมต้องออกนอกระบบราชการ
มหาวิทยาลัยออกนอกระบบมาพร้อมๆ กับการปฏิรูประบบการศึกษาในปี 2517 ซึ่งกำหนดแนวทางว่าสถาบันอุดมศึกษาจะต้องเป็นระบบอิสระ ไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ จนกระทั่งปี 2534 รัฐบาลในสมัยนั้นแถลงนโยบายต่อรัฐบาล เสนอทางเลือกให้มหาวิทยาลัย 2 แนวทางคือ คงอยู่ในระบบราชการต่อไป แต่ต้องแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ให้คล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือออกนอกระบบราชการ
เมื่อออกนอกระบบราชการแล้ว สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือ แต่ละมหาวิทยาลัยมีอิสระในการบริหารงานมากขึ้น จากเดิมที่ต้องขึ้นกับทบวงมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนเป็นบริหารจัดการตนเอง ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมีอำนาจตัดสินใจได้ทั้งงบประมาณ งานวิชาการ จนถึงงานบริหารงานบุคคล เป็นต้น
แนวทางการออกนอกระบบราชการเริ่มมีความเป็นจริงมากขึ้น คือในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF - International Monetary Fund และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ ADB (Asian Development Bank) ผลักดันให้รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการแปรรูปการศึกษา โดยแจงเหตุผลว่ารัฐบาลไทยใช้งบประมาณการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการศึกษาสูงเกินความจำเป็น
ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้แปรรูปมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 27 ม.ค.2541 ตามเงื่อนไขการกู้เงินของ ADB ที่ระบุชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่งต้องเปลี่ยนสถานภาพเป็น "มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล" หรือออกนกระบบราชการ ภายในปี 2545
เงินกู้ด้านการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางสังคม (Social Sector Program Loan) เอดีบีอนุมัติเมื่อวันที่ 12 มี.ค.2541 เป็นจำนวน 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 20,000 ล้านบาท)
การออกนอกระบบราชการยังไม่สามารถทำได้ทันที มหาวิทยาลัยของรัฐทั้งหมด 20 แห่งจะต้องยกร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยและเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติเสียก่อน จนถึงปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.แต่ละมหาวิทยาลัยก็ยังไม่เสร็จสิ้นเสียที เพราะมีกระแสการคัดค้านของคณาจารย์ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยบางส่วน
ภายหลังจากที่ ครม.มีมติให้แปรรูปภายในปี 2545 เสียงของบรรดาข้าราชการ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ถือว่าจะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบตรงแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบก็จะเห็นว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย ทำให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศทางวิชาการ และเหตุผลลึก ๆ บางส่วนคือจะทำให้อัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้น
ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ก็มีเหตุผลทั้งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรง เช่นกลัวว่าไม่มีความมั่นคงในการทำงาน จะทำงานเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ เหมือนเดิมไม่ได้ จะถูกตรวจสอบ และวัดประสิทธิภาพในการทำงานหนักขึ้น แต่ก็มีบางส่วนที่มีความเห็นต่อระบบการศึกษา เกรงว่ามหาวิทยาลัยจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่รับใช้ภาคธุรกิจมากขึ้น โอกาสที่ลูกคนจน-คนชั้นกลางจะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่มีน้อยอยู่แล้ว ก็จะน้อยลงไปอีก
ภาวะเสียงแตกทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งไม่สามารถดำเนินการออกนอกระบบได้ทันภายในปี 2545 ตามเป้าหมายของเอดีบี อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการถกเถียงของบรรดาบุคลากรในมหาวิทยาลัย กลับพบว่าเสียงของภาคประชาชนที่มีความเห็นต่อเรื่องนี้แผ่วเบายิ่งนัก
ขายทอดตลาดมหาวิทยาลัย
หลังจากที่รัฐบาลไทยรับเงื่อนไขเงินกู้เอดีบี ปี 2543 ขบวนการภาคประชาชนที่ประกอบด้วยองค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรชาวบ้านร่วมกันจัดเวทีประชาชน "การพัฒนาต้องมาจากประชาชน" โดยมี ประเด็นหนึ่งคือการคัดค้านเอดีบีที่เข้ามากำกับระบบการศึกษาของไทย ในเอกสารที่จัดทำโดย คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และคณะทำงานติดตามผลกระทบโครงการเงินกู้เอดีบีตั้งข้อสังเกตต่อการให้เงินกู้ของเอดีบีที่มาพร้อมกับเงื่อนไขให้นำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการว่า จะส่งผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะกับคนจน
สาเหตุที่จะทำให้ลูกคนจนเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาน้อยลง เพราะผู้เข้าเรียนจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามจริง ขณะที่คนจนต้องพึ่งพากองทุนกู้ยืมการศึกษา ซึ่งแนวโน้มจะมีจำกัด เนื่องจากรัฐต้องการลดค่าใช้จ่าย และยังเป็นไปไม่ได้ที่ทุนการศึกษาจะกระจายอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
นอกจากนี้จะมีผลทำให้งานวิชาการสำหรับภาคที่ด้อยโอกาสจะน้อยลงไปด้วย เพราะเมื่อรัฐต้องลดภาระค่าใช้จ่าย มหาวิทยาลัยก็ต้องดิ้นรนหาเงินเองมากขึ้น ทางออกคือต้องหันไปพึ่งพาภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมโดยการรับจ้างวิจัยบริษัทเอกชนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้การค้นคว้าจึงถูกกำหนดโดยเจ้าของเงินมากขึ้น คณะ สาขาและสถาบันที่มีประโยชน์ แต่ไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงินก็จะอยู่ได้ยากมากขึ้น เช่น สายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ เป็นต้น
ขณะที่นักวิชาการ เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ มีความเห็นว่าก่อนที่จะเลือกตัดสินใจว่าจะอยู่ในระบบราชการหรือออกนอกระบบราชการนั้น สิ่งที่ต้องแก้ปัญหาให้ได้คือ มหาวิทยาลัยจะต้องเปิดให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม แม้ว่าข้อเท็จจริงนั้นความไม่เสมอภาคการศึกษามาจากหลายสาเหตุ ไม่ใช่เป็นเพราะมหาวิทยาลัยฝ่ายเดียวก็ตาม แต่มหาวิทยาลัยก็ควรจะทำอะไรที่ทำให้ปัญหานี้บรรเทาลงบ้าง
"ของใหม่เมื่อไม่แน่ใจและมีปัญหา ให้เอาของเก่าไว้ก่อน" ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อ้างถึงคำพูดของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เมื่อต้องแสดงความเห็นเกี่ยวกับการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2546
ชาญวิทย์ ถือเป็นนักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่ท้วงติงการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบไว้อย่างน่าสนใจว่าการแปรรูปนั้นจะมีผลกระทบใหญ่มากต่อศูนย์กลางทางปัญญา และอนาคตของประเทศชาติ สังคม ถ้าหากยังมีข้อท้วงติง มีความเห็นต่างก็ไม่ควรเร่งรีบแปรรูปหรือว่า "ขายทอดตลาด" เพราะจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงดังว่า
โอกาสคนจน นักศึกษาเป็นเพียง "ลูกค้า"
จนถึงปัจจุบันข้อถกเถียงของฝ่ายที่คัดค้าน และฝ่ายที่สนับสนุนการแปรรูปมหาวิทยาลัยก็ยังไม่เป็นที่ยุติ แต่ประเด็นที่ยังมีการถกเถียงกันน้อยคือ โอกาสที่ลูกคนจน หรือชนชั้นกลางระดับล่างจะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยจะเป็นเช่นไรหลังการแปรรูปออกนอกระบบ หรือนำมหาวิทยาลัยเข้าสู่ระบบตลาด
แม้ว่าที่ผ่านมาก็เป็นทราบกันดีว่าคนที่มีโอกาสศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในระบบเองก็มักจะเป็นลูกชนชั้นกลางที่ค่อนข้างมีฐานะ ไปจนถึงลูกคนรวยก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่ระบบตลาดโอกาสของคนจนจะยิ่งน้อยลงไปหรือไม่ ? ยังไม่มีใครตอบได้
อย่างไรก็ตาม ขณะที่แต่ละมหาวิทยาลัยกำลังเตรียมการเพื่อออกสู่นอกระบบพบว่า บางมหาวิทยาลัยก็ทยอยขึ้นค่าหน่วยกิตไปบ้างแล้ว เช่น ในปี 2546 พบว่าจากเดิมที่มหาวิทยาลัยเคยคิดค่าหน่วยกิต 600 บาท ก็เพิ่มเป็นหน่วยกิตละ 1,200 บาท เดิมหลักสูตรเหมาจ่าย 12,000 บาท ก็ปรับเพิ่มเป็น 24,000 บาท หลักสูตรที่ถือว่าปรับเพิ่มกระฉูดคงหนีไม่พ้น แพทย์ศาสตร์ จากเดิมเคยจ่ายกันปีละสามแสนบาท ก็ปรับเพิ่มจ่ายถึงปีละ 6 แสนบาท เป็นต้น
การทยอยปรับเพิ่มขึ้นค่าหน่วยกิตสำหรับคนที่มีฐานะก็ดูจะไม่สะท้านสะเทือนเท่าไรนัก แต่สำหรับลูกคนจนที่มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา การขึ้นค่าหน่วยกิตกลายเป็นภาระก้อนโตของครอบครัว ทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินกันมากขึ้นเพื่อส่งบุตรหลานเรียน นอกจากค่าหน่วยกิตแล้ว หลายมหาวิทยาลัยก็ยังเก็บค่าบำรุงการศึกษา เช่น ค่าใช้บริการห้องสมุดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เป็นต้น
ด้วยเหตุที่มีจำนวนลูกคนจนที่มีโอกาสศึกษาต่อไม่มากนัก ทำให้ประเด็นค่าหน่วยกิตแพงขึ้นไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร เพราะโดยส่วนใหญ่ผู้ปกครองก็จะสามารถรับภาระค่าหน่วยกิตที่แพงขึ้นได้ มีเฉพาะคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ ต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้
น.พ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานที่ประชุมสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมีความเห็นว่าการที่มหาวิทยาลัยทยอยขึ้นค่าหน่วยกิต รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ จากนักศึกษามากขึ้นนั้นเริ่มมาตั้งแต่มีมติ ครม.ให้มีการแปรรูปออกนอกระบบ เริ่มไม่มีการกำหนดเพดานเรียกเก็บค่าใช้จ่าย แล้วแต่เทคนิคของแต่ละมหาวิทยาลัยว่าจะเรียกเก็บตรงไหน เพิ่มค่าใช้ตรงไหน เป็นต้น
ปอมท.จึงได้คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมาอย่างต่อเนื่อง โดยชี้แจงประเด็นโอกาสการศึกษาของคนไทย ไม่เห็นด้วยกับมติครม.เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2547 ที่มีการกำหนดให้ผู้เรียนต้องรับภาระค่าธรรมเนียมการเรียนตามต้นทุนค่าจ่ายการดำเนินงานถึง 100 % จากเดิมที่ผู้เรียนเคยจ่ายแค่ 25 % และรัฐอุดหนุน 75 % และให้รัฐเลิกกำหนดเพดานค่าเล่าเรียน รัฐอ้างว่าจะมีกองทุนให้กู้ยืมอยู่แล้ว
ส่วนการที่ทบวงมหาวิทยาลัยระบุว่ามีลูกคนจนศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยน้อยนั้น ทาง ปอมท.ก็โต้แย้งว่าความจริงแล้วมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ อาจจะใช่ แต่สำหรับมหาวิทยาลัยในชนบท เช่นที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีลูกเกษตรกรเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ถึง 21 % ดังนั้น ทบวงมหาวิทยาลัยควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้นจะเป็นการปิดกั้นโอกาสลูกคนจนในการศึกษาต่อ
ตลาดนำความรู้ ?
"มหาวิทยาลัยมองตัวเองเหมือนบริษัท และย่อมตอบสนองต่อตลาดที่มีกำลังซื้อ ไม่ว่างานวิจัยหรือการขายบริการทางวิชาการอื่น ๆ แม้แต่การผลิตบัณฑิตก็นึกถึงแต่ตลาดจ้างงาน ทั้งหมดนี้ทำให้มหาวิทยาลัยมุ่งรับใช้แต่บางภาคส่วนของสังคมเท่านั้น ถึงแม้จะอยู่ในระบบราชการก็ทำอยู่อย่างนี้แล้ว ยิ่งออกนอกระบบยิ่งหันมาเน้นลักษณะเช่นนี้สูงขึ้น" นิธิ กล่าวถึงแนวโน้มของมหาวิทยาลัยที่จะเกิดขึ้นหากมีการออกนอกระบบราชการและเข้าสู่ระบบตลาดอย่างเต็มรูปแบบ
ขณะที่หลายคนอาจจะพูดถึงเสรีภาพงานวิชาการว่าการออกนอกระบบจะทำให้มีเสรีภาพทางวิชาการมากขึ้น แต่ก็มีข้อท้วงติงจากฟากหนึ่งว่าเสรีภาพที่ได้มาจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม นั่นคือแม้นักวิชาการจะสามารถหลุดพ้นจากกรอบอันคับแคบของระบบราชการ แต่ก็ต้องตกอยู่ภายใต้ระบบทุนอยู่นั่นเอง เช่นนักวิชาการจำนวนไม่น้อยที่ไปรับจ้างเขียนอีไอเอให้แก่บรรษัทข้ามชาติ เป็นต้น
ต่อเรื่องนี้ นิธิตั้งข้อสังเกตว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยนั้นถือว่าเป็นคนที่ละเมิดเสรีภาพทางวิชาการได้มาก เพราะอยู่ในอำนาจ ฉะนั้นการออกนอกระบบราชการจึงใคร่ครวญประเด็นนี้ให้ดี เพราะหากนักวิชาการรับใช้ภาคธุรกิจก็ไม่มีความหมาย
คำถามใหญ่ของสังคมคือนักวิชาการควรจะเป็นผู้แสวงหาคำตอบ สร้างองค์ความรู้ หาทางออกให้แก่สังคมจะสามารถทำได้หรือไม่เมื่อมหาวิทยาลัยแปรรูปเข้าสู่ระบบตลาด ถึงตอนนี้นักวิชาการบางส่วนเริ่มไม่มั่นใจนัก เพราะการที่ทำให้มหาวิทยาลัยต้องพึ่งตนเอง บริหารจัดการด้านงบประมาณเอง งบประมาณอุดหนุนลดลง จะทำให้ความเข้มข้นในการค้นคว้าวิจัย งานวิชาการที่รับใช้สังคมจะทำได้มากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา นักวิชาการน้ำดีในมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวสร้างงานวิชาการ เกิดความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก เช่น งานวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มคนชายขอบ นโยบายการจัดการที่ดิน แก้ไขปัญหาคนจน เป็นต้น
หากการแปรรูปมหาวิทยาลัยจะทำให้งานส่วนนี้ต้องลดความสำคัญลงไปก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อย.
เบญจา ศิลารักษ์
สำนักข่าวประชาธรรม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)