Skip to main content
sharethis

ประชาไท - 1 มิ.ย.2549    หลังจากที่นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภาได้ร้องขอให้ศาลฎีกาพิจารณาสรรหาผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แทน 2 ตำแหน่งที่ว่างลง คือ นายจรัล บูรณพันธุ์ศรี ซึ่งเสียชีวิต และพลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ ที่ได้ลาออกไปแล้วนั้น


 


นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ได้ทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อแจ้งมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งลงมติ 72 ต่อ 4 เสียง ไม่สรรหา กกต. 2 ตำแหน่งตามที่ประธานวุฒิสภาร้องขอ โดยหนังสือระบุเหตุผลว่า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้เพิกถอนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยวินิจฉัยว่าเป็นการจัดการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ก็หมายความว่า พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร และพล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง ดังนั้นย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ และการแต่งตั้งกรรมการการเลือกตั้งเพิ่มเติมอีก 2 คนก็ไม่สามารถเยียวยาปัญหาความชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวได้


 


"คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ซึ่งหมายความอยู่ในตัวว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ประกอบด้วย พลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร และพลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 134 จึงจะต้องเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐตามมาตรา 218 หากบุคคลดังกล่าวที่เหลืออีก 3 คนยังคงใช้อำนาจหน้าที่ของกรรมการการเลือกตั้งต่อไป การดำเนินการและการกระทำต่างๆ ก็จะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายอย่างไม่สิ้นสุด" หนังสือระบุ


 


หนังสือระบุด้วยว่า นอกจากนี้การเพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าวยังเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศ และเป็นคดีฟ้องร้องหลายคดีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้แล้ว ดังนั้น กกต.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้งในวันดังกล่าว จึงไม่ควรได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่อีก


 


0 0 0 0 0


 


หนังสือจากประธานศาลฎีกา ถึง ประธานวุฒิสภา


 


ด่วนที่สุด ศาลฎีกา


ถนนราชดำเนินใน กทม. 10200


1 มิถุนายน 2549


 


เรื่อง การพิจารณาสรรหาผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้ง


กราบเรียน ประธานวุฒิสภา


อ้างถึง หนังสือวุฒิสภาฯ ด่วนที่สุด ที่ สว.0008/1884 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2549


 


ตามหนังสือที่อ้างถึง ขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาสรรหาผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งกรณีของนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี และกรณีของพลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ รวมจำนวน 2 คน แล้วเสนอต่อประธานวุฒิสภาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2549 นั้น


 


ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 เวลา 9.30 น. ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 138 (2) บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่จะพิจารณาสรรหาผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้งเสนอต่อที่ประธานวุฒิสภา จึงเป็นกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาดำเนินการได้เองตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องดำเนินการตามที่มีการร้องขอ


 


ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยโดยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล แต่ในเวลาที่ประเทศตกอยู่ในภาวะว่างเว้นรัฐสภา และคณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร หากมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสงวนรักษาระบอบการปกครองและความสงบสุขของราชอาณาจักรไว้ พระมหากษัตริย์ย่อมทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางศาลได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ดังที่ทรงมีพระราชดำรัสแก่ประธานศาลปกครองสูงสุดและประธานศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ดังนั้น การปฏิบัติภารกิจของศาลตามที่ได้รับใส่เกล้าใส่กระหม่อม จึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ


 


ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้พิจารณาการสรรหาผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างจำนวน 2 คนแล้ว เห็นว่า ในการพิจารณาดังกล่าวที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องธำรงคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและนำมาซึ่งความผาสุกของอาณาประชาราษฎร ทั้งต้องคำนึงถึงพันธกิจของผู้พิพากษาและตุลาการตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งปรากฏในคำถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา 252 ว่า จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ ดังนั้น เมื่อปัจจุบันประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางการเมือง ประชาชนแบ่งแยกเป็นอีกฝ่าย ไม่รับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน มีผลกระทบกระเทือนต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และความผาสุกของอาณาประชาราษฎรอย่างรุนแรง จึงนับเป็นสถานการณ์พิเศษที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องพิจารณาด้วยความสุขุมรอบคอบ โดยมองผลที่จะตามมาในอนาคตด้วย


 


การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 และการเลือกตั้งที่ต่อเนื่องมาเป็นเหตุส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์ดังกล่าว ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีข้อวินิจฉัยที่ 2549 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ว่า การดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งและในส่วนที่เกี่ยวกับมติการจัดคูหาเลือกตั้งที่ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ ทำให้เกิดผลการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ไม่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 2 มาตรา 13 มาตรา 104 วรรค 3 และมาตรา 144 มาตั้งแต่เริ่มต้นของกระบวนการจัดการเลือกตั้ง และศาลรัฐธรรมนูญได้เพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าว การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรมหมายความว่าไม่ตั้งตรงในความเป็นธรรม จึงหมายความอยู่ในตัวว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ประกอบด้วย พลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร และพลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 134 จึงจะต้องเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐตามมาตรา 218 หากบุคคลดังกล่าวที่เหลืออีก 3 คนยังคงใช้อำนาจหน้าที่ของกรรมการการเลือกตั้งต่อไป การดำเนินการและการกระทำต่างๆ ก็จะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายอย่างไม่สิ้นสุด การที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะเสนอชื่อผู้ที่สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้ง กระทั่งที่สุดมีการแต่งตั้งกรรมการการเลือกตั้งเพิ่มเติมอีก 2 คน ย่อมไม่สามารถเยียวยาปัญหาความชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวได้


 


ตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเมืองการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นตำแหน่งที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 44 วรรคหนึ่ง บัญญัติ ให้เป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งบุคคลเข้าเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งในระดับประเทศ และระดับท้องถิ่นให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการเลือกตั้งจึงต้องมีความรับผิดชอบ (Accountabilty) ต่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งยังจะต้องดำรงรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างอื่นของรัฐ ให้สมดังเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 อีกด้วย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่ากรรมการการเลือกตั้งที่ดำรงตำแหน่งอยู่ขณะนี้ได้จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 และการเลือกตั้งที่ต่อเนื่องมา โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถึงขนาดทำให้การเลือกตั้งดังกล่าวถูกเพิกถอนไปโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองกลาง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรง จนถูกฟ้องเป็นคดีอาญาหลายคดี ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้บางศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วและมีคำสั่งว่าคดีมีมูล ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา จึงเห็นได้ว่ากรรมการการเลือกตั้งที่เหลืออยู่ 3 คนนี้ มิได้อยู่ในฐานะที่สมควรจะได้รับความไว้วางใจที่จะให้ทำหน้าที่ต่อไป ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินการของบุคคลทั้งสามนี้ได้


 


อนึ่ง เมื่อครั้งที่นายจรัล บูรณพันธุ์ศรี กรรมการการเลือกตั้งถึงแก่อนิจกรรม ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้พิจารณาสรรหาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (2) และเสนอชื่อ นายเกษม วีรวงศ์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้งต่อประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 แต่ประธานวุฒิสภาไม่สามารถดำเนินการจัดให้มีการสรรหาตามมาตรา 148 (1) ได้ เนื่องจากคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้งไม่ครบองค์ประกอบ กระทั่งครบกำหนด 30 วัน ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่อาจดำเนินการสรรหาตามมาตรา 138 (3) ได้ และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติรัฐธรรมนูญตามหนังสือวุฒิสภา ด่วนที่สุด ที่ สว (กกต) 0008/6886 ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2548 จนถึงบัดนี้วุฒิสภายังไม่สามารถดำเนินการเลือกกรรมการการเลือกตั้งในกรณีดังกล่าว และยังไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ นายเกษม วีรวงศ์ ก็ได้ถอนตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2549 ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้มีปัญหาข้อขัดข้องเพิ่มขึ้นเนื่องจากไม่มีพรรคการเมืองที่จะเสนอรายชื่อผู้แทนพรรคการเมืองให้เลือกกันเองเหลือกี่คน คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา 138 (1) จึงไม่อาจครบองค์ประกอบได้ เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว หากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะเสนอชื่อผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้งอีก ก็จะประสบปัญหาเช่นเดิมซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข


 


เมื่อการสรรหาตามมาตรา (1) และ (3) ไม่อาจดำเนินการได้ตามที่ประธานวุฒิสภาเคยให้ความเห็นไว้เช่นนั้นแล้ว การสรรหาโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามมาตรา 138 (2) ก็ไม่มีประโยชน์จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการสรรหาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (2) จนกว่าจะไม่มีกรรมการการเลือกตั้งเหลืออยู่ทำหน้าที่ต่อไป จึงจะสามารถนำมาตรา 138 (3) มาใช้โดยอนุโลม เพื่อแก้ปัญหาสุญญากาศทางการเมืองให้แก่ประเทศ


 


อาศัยเหตุดังกล่าวข้างต้น ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า การเสนอชื่อผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้งเข้าไปเป็นกรรมการการเลือกตั้งร่วมกับกรรมการการเลือกตั้งที่เหลืออยู่ในขณะนี้ จะทำให้ไม่สามารถธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และจะกระทบถึงหน้าที่ของศาลยุติธรรมในการรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยเสียงข้างมาก 72 เสียง ต่อ 4 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง จึงมีมติไม่ดำเนินการเสนอชื่อผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างทั้งสองคน


 


จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดทราบ


 


ขอแสดงความนับถือ


 


(นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ)


ประธานศาลฎีกา

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net